ศิลปะการป้องกันตัวที่ดีที่สุดคือ MMA ใช่หรือไม่

ความนิยมในเรื่องการศึกษาและติดตามศิลปะการต่อสู้ MMA หรือ Mixed Martial Arts มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้คนทั่วโลกมองเห็นถึงประโยชน์ที่มีใน MMA ว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันตัวเองได้ในสถานการณ์จริง โดยเฉพาะผู้หญิงซึ่งมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอเมื่อต้องถูกคุกคามทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรู้จักและคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักก็ตาม แล้วศิลปะการป้องกันตัวที่ดีที่สุดคือ MMA ใช่หรือไม่…คงต้องมาหาเหตุผลกันก่อนว่ามีสิ่งไหนที่จะสนับสนุนได้บ้าง เพราะว่า MMA ใช้ศิลปะการต่อสู้หลายแขนงโดยเลือกเทคนิควิธีที่ดีที่สุดของแต่ละแขนงมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม ความกล้าหาญและความมีวินัยของนักกีฬาที่จะเข้ามาฝึกซ้อมด้วยจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยอดเยี่ยมได้จริง ๆ เพื่อสมกับคำว่า ศิลปะการป้องกันตัวที่ดีที่สุด

การใช้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวกับ MMA แตกต่างกันอย่างไร

การใช้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวนั้น น่าจะเป็นการรวมถึงการใช้อาวุธหรือสิ่งที่สามารถใช้แทนอาวุธจริงได้ทุกประเภท เพราะในสถานการณ์จริงการเอาตัวรอดจากอันตรายสิ่งรอบกายนำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ มีดพก ปากกา กระเป๋าสเปรย์พริกไทย ฯลฯ รวมถึงอวัยวะของร่างกายที่ใช้ต่อสู้ได้ แต่สำหรับ MMA แล้วจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม่มีอาวุธอื่น แต่จะผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ Jiu Jitsu บราซิล, คาราเต้, มวยไทย, มวยสากล, ไอคิโด เป็นต้น โดยผู้ฝึกซ้อมสามารถเลือกรูปแบบที่ตัวเองถนัดและสามารถทำได้ดีที่สุดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

ในการผสมผสานทักษะและเทคนิคต่าง ๆ ถือเป็นการเรียนรู้ที่มีประโยชน์มาก ทั้งด้านการแข่งขันบนสังเวียนนักกีฬามวยและผู้ที่เรียนรู้เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเองจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และที่สำคัญอย่าลืมว่า บนสังเวียนนักกีฬามีกติกาเพื่อควบคุมสถานการณ์แต่เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตนั้นไม่มีกติกามาคอยกำกับ นั่นอาจจะหมายถึงอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าคุณหรือใครที่ประสบเหตุการณ์ร้ายแต่ไม่มีทักษะด้านการต่อสู้ติดตัวเอาไว้เลย อันที่จริงแล้วนอกจากจะสามารถนำศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานอย่าง MMA ไปใช้ได้จริงแล้วยังทำให้ผู้ที่สนใจเป็นนักกีฬาประเภทนี้จะสามารถมีสไตล์และเทคนิคที่หลากหลายขึ้น เมื่อคนที่ได้ดูการแข่งขันจึงรู้สึกสนุกสนาน เพราะคาดเดาท่วงท่าที่จะมาใช้เป็นอาวุธไม่ได้เลย

แต่ทั้งหมดนี้คือศิลปะการป้องกันตัวที่ดีเยี่ยม เนื่องจากเป็นการสอนวิธีการใช้ร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ ของผู้ฝึกฝนให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตัวเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถเริ่มเรียนรู้ได้ แล้วจะได้พบด้วยตัวเองว่าเทคนิคแบบไหนกันแน่ที่ใช่และใช้ได้คล่องแคล่วที่สุด นอกจากนี้ยังได้ทั้งความสนุกสนาน ได้สังคมใหม่ ๆ เพื่อนใหม่ ๆ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย

สุดยอดของคำว่า “ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว”

การให้คำนิยาม คำว่าสุดยอดศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของแต่ละคนนั้น น่าจะมีความแตกต่างกันไป เพราะว่าแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน บางคนถนัดการเตะต่อย แต่บางคนถนัดการทุ่มและล็อก ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าการเลือกใช้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสมผสานคือสิ่งที่ดีที่สุดก็ไม่น่าจะผิด แต่ก่อนการก้าวถึงเป้าหมายคำว่าสุดยอดและดีที่สุดนั้นคงต้องอาศัยความมุ่งมั่นและพยายามเพื่อที่จะค้นหาแนวทางการต่อสู้ที่ใช่ เมื่อพบแล้วก็รับรองได้ว่าจะรักและหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบ MMA อย่างแน่นอน

มวยไทย…สง่างามได้บนเวทีการต่อสู้แบบผสมผสาน

มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ของไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ จึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะสามารถทำให้คนทั่วโลกให้ความสนใจและให้การยอมรับ นักต่อสู้จากหลาย ๆ สำนักยังอยากที่จะเข้ามาฝึกซ้อมแม่ไม้มวยไทยเพื่อนำไปใช้เป็นอาวุธบนสังเวียนใหญ่ ในการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) ก็เช่นกัน มวยไทยถูกนำมาใช้ในการแข่งขันทั้งนักกีฬาไทยเองและนักกีฬาต่างชาติด้วย แล้วก็มีบทพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้ดี เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างสง่างามเหมือนนักมวยไทยชื่อเสียงโด่งดังท่านนี้ บัวขาว บัญชาเมฆ ในด้านความนิยมฝึกซ้อมมวยไทยเพื่อใช้ในสังเวียน MMA ก็เพราะว่าสามารถใช้ได้ทั้งหมัด ศอก เตะต่อยและเข่านั่นเอง โดยใช้ร่วมกับเทคนิคการต่อสู้แบบอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน อย่างเช่น บราซิเลียน ยิวยิตสู (Brazilian Jiu-Jitsu) เนื่องจากเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ช่วยเซฟร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า

กติกามวยไทยและการนำไปใช้ในศึก MMA

เรื่องของกฎกติกาในการแข่งขันนั้นมีความสำคัญซึ่งนักกีฬาทุกท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในกติกามวยไทยมีความใกล้เคียงกับกติกาที่ใช้ในศึก MMA มากทีเดียว ออกอาวุธได้ทุกรูปแบบ แต่ก็ยังมีข้อห้ามอื่นเพื่อให้การต่อสู้นั้นมีความปลอดภัยสำหรับตัวนักกีฬา เป็นการป้องกันอาการบาดเจ็บ สำหรับนักกีฬามวยไทยแล้ว เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องการขึ้นชกสังเวียน MMA เลยก็ว่าได้ สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนมีไม่มากเมื่อเทียบกับนักมวยสากลที่ต้องมีการเพิ่มทักษะการสู้หลายรูปแบบ แต่รูปแบบการต่อสู้ที่ต้องมีเพิ่มนั้นก็คือ ทักษะการทุ่ม ล็อกและรัด จากรูปแบบของ บราซิเลียน ยิวยิตสู ยูโด มวยปล้ำและคาราเต้ เป็นต้น

โดยปกตินักกีฬามวยไทยจะต้องสวมใส่นวมที่มือทั้งสองข้างแต่การชกแบบมวย MMA ไม่ใช้นวม เพราะต้องใช้มือและนิ้วมือในการต่อสู้ จึงใส่สนับมือที่มีนิ้วมือโผล่ออกมาได้และมีแผ่นรองนิ้วเพื่อป้องกันนิ้วหัก ในการต่อสู้ก็ยังสามารถใช้มือและนิ้วจับล็อกคู่ต่อสู้ได้สะดวกหรือจะใช้หมัดชกคู่ต่อสู้ก็ยังได้เช่นกัน เพียงแค่ไม่ได้เน้นการชกเท่ากับกติกามวยไทย ดังนั้นก็อยู่ที่ว่านักกีฬาจะสามารถนำเทคนิควิธีการต่อสู้แบบมวยไทยไปผสมผสานใช้กับการชกในศึก MMA ได้ดีหรือไม่ ถ้าหากใช้ได้ดีและชำนาญแล้วก็ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามสำหรับนักต่อสู้จากทั่วโลกอย่างแน่นอน แล้วก็ได้พิสูจน์ว่าจริงเสียด้วยแบบสไตล์การชกมวยไทยของคุณ บัวขาว บัญชาเมฆ

บัวขาว…บทพิสูจน์ของมวยไทยที่ได้รับการยอมรับบนเวทีโลก

บัวขาว บัญชาเมฆ ถือเป็นนักชกมวยไทยขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วย นักมวยท่านนี้ได้นำฝีไม้ลายมือจากการชกมวยไทยไปประจักษ์ต่อสายตาทั่วโลกแล้วว่ามวยไทยมีดีไม่แพ้ศิลปะการต่อสู้ประเภทอื่นเลยจริง ๆ นอกจากนี้ยังได้รับคำท้าจากนักชกบนสังเวียน MMA ลงต่อสู้ในศึกมวยที่ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาของการชก MMA ก็สามารถทำได้ดีและเอาชนะนักชกในรุ่นเดียวกันได้อย่างสวยงาม ทั้งการชนะน็อกและชนะคะแนน จึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักชกรุ่นใหม่ ๆ ที่ให้ความสนใจในการเล่นกีฬาทั้งมวยไทยและรูปแบบมวย MMA อย่างน้อยถ้าไม่ได้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลกก็ยังถือว่าเป็นการออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้น

กีฬา MMA ศูนย์รวมศิลปะการต่อสู้

หลายคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับกีฬาประเภทนี้ คงสงสัยว่าคืออะไรกันแน่ กีฬา MMA เป็นเกมกีฬาที่รวบรวมเอาศิลปะการต่อสู้หลากหลายชนิดมารวมกัน ตอบสนองความต้องการของเหล่ายอดนักสู้ที่หลงใหลในกีฬาการต่อสู้ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ในเรื่องชนิดของกีฬาที่นำมารวมกัน นักกีฬาแต่ละคนมีความถนัดหลายอย่างนำมาประยุกต์รวมกัน ทั้งมวยไทย เทควันโด ยูโด ไอคิโด ยิวยิตสู คาราเต้ และกีฬาต่อสู้อีกหลายประเภท แล้วขึ้นเวทีเพื่อประลองฝีมือกัน ด้วยกติกาที่ลดความเคร่งครัดลงเพื่อลดข้อจำกัดในการต่อสู้ และที่แน่ ๆ สนุกถึงใจคนดูอย่างแน่นอน

นักกีฬา MMA สมาธิ ไหวพริบ จิตใจ ร่างกาย หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ขึ้นชื่อว่ากีฬาล้วนดีต่อผู้เล่นทั้งสิ้น แต่ความพิเศษของกีฬา MMA นั้นน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนที่เข้มงวดหลายอย่าง ผู้ฝึกต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด ร่างกายที่ต้องผ่านการฝึกอย่างหนักจนแข็งแกร่งขีดสุด ระบบประสาทที่ต้องแน่วแน่ ไหวพริบปฏิภาณที่เฉียบคมแก้ปัญหาได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การขึ้นเวทีแต่ละครั้งเป็นสิ่งที่นักกีฬาหลายคนกังวลกันมาก เพราะเผลอแม้เพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงหายนะเลยทีเดียว คู่ต่อสู้ที่ประลองด้วยไม่มีทางรู้เลยว่าจะใช้เทคนิคใดในการนำมาสู้กัน การหาข้อมูลขณะต่อสู้กันจะทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ และวางแผนในการโต้ตอบกลับในเวลาอันจำกัด นักกีฬา MMA น้อยมากที่จะชนะการแข่งขันติดกันหลาย ๆ match เพราะทุกคนล้วนถูกฝึกให้แก้สถานการณ์มาอย่างเข้มงวด หากเป็นเกมที่แพ้ผู้แพ้จะกลับไปทบทวนหาจุดอ่อนว่าอะไรเป็นสาเหตุนั้น แล้วปรับแก้เพื่อลองใช้ในการแข่งครั้งต่อไป ในช่วงต้นการแข่งส่วนมากจะเป็นการหยั่งเชิงเพื่อดูทิศทางของคู่ต่อสู้กัน ตาจ้องประสานกันตลอดเวลา ต่างหาจังหวะเข้าทำทันทีเมื่ออีกฝ่ายเผลอ หากฝีมือไม่ต่างชั้นกันจริง ๆ การปะทะหนัก ๆ จะยังไม่ค่อยเห็นในยกแรก การวางแผนจู่โจมมักเริ่มตั้งแต่ยกที่ 2 เป็นต้นไปหลังหยั่งเชิง หยั่งกำลังคู่ต่อสู้แล้ววางแผนการต่อสู้ ยก 2 จะเริ่มเป็นช่วงการเปิดเกมรุกกัน การต่อสู้แบบ MMA นั้นส่วนมากจะโจมตีอย่างรุนแรงหนักหน่วงแทบทุกครั้งเพื่อสร้างโอกาสให้เข้าล็อคหรือประชิดวงใน ซึ่งแทบทุกครั้งการแพ้ชนะกันนั้นก็เกิดจากการต่อสู้วงในทั้งนั้น สมาธิที่ดีเยี่ยม ไหวพริบในการแก้ปัญหา จิตใจที่ห้าวหาญ และร่างกายที่พร้อม ทุกอย่างต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่แหละคือเสน่ห์ของกีฬา MMA

ทักษะเกิดจากการสังเกต หากชื่นชอบกีฬาต่อสู้ ต้องดูการแข่ง MMA ให้เป็น

ใครที่สนใจกีฬาประเภทนี้หรือชื่นชอบกีฬาต่อสู้อยู่แล้ว การศึกษาเกมการต่อสู้จากการแข่งขันถือเป็นการเพิ่มทักษะได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นการเพิ่มประสบการณ์การสังเกต สิ่งที่ควรสังเกตและแยกแยะให้ได้เป็นอันดับแรกก็คือนักกีฬาแต่ละคนนั้นมีวิธีการสร้างโอกาสในการรุกอย่างไร ใช้ทักษะการต่อสู้กี่ชนิดมาประยุกต์ใช้ สิ่งต่อไปที่ต้องสังเกตคือในสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอย่างไร หากสามารถวิเคราะห์ได้จากเกมการแข่ง การฝึกซ้อมจะทำให้จินตนาการได้ตามเกมการแข่ง แล้วคุณจะรู้ได้เองว่าในขณะที่ฝึกนั้นควรวางแนวทางการฝึกอย่างไร

เริ่มต้นสู้ความเป็นนักสู้ใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA

การเริ่มต้นมักจะทำให้เกิดความกังวลอยู่เสมอ ถนนสู่การเป็นนักสู้หัวใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA ก็เช่นกัน ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของ MMA คือ มวยกรงที่ดุเดือด ดูแล้วน่ากลัวและอาจจะมีอันตราย อย่างในสังเวียนระดับโลกในชื่อ UFC ซึ่งถ้านักสู้คนใดได้มีโอกาสก้าวเข้ามาก็ถือว่ามีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับเพราะนอกจากชื่อเสียงจากความสามารถที่มีแล้วนั้น ยังมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย รู้หรือไม่ว่า…ในแต่ละเดือนนักสู้ UFC ได้ค่าตอบแทนในระดับที่กลายเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการฝึกซ้อมอย่างหนักของนักกีฬาแต่ละคน เมื่อเริ่มต้นได้อย่างมั่นคงแล้ว ที่เหลือก็เป็นการรักษาคุณค่าและคุณภาพของคำว่านักสู้ให้อยู่ได้อย่างยาวนานที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นนักสู้คนหนึ่งที่โลกต้องจดจำก็ได้

ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการเริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

ในคำถามที่ว่า ช่วงวัยหรืออายุเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการฝึกต่อสู้เพื่อเป็นนักสู้ MMA นั้น คงจะตอบช่วงวัยที่แน่นอนไม่ได้ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกได้ว่าอายุเป็นตัวกำหนดความชำนาญและความเก่งกล้าสามารถของนักสู้ คงจะต้องนำหลักของความเป็นไปได้มาวัดน่าจะดีกว่า คล้าย ๆ กับเรื่องของการศึกษาหาความรู้ด้านอื่น ๆ แตกต่างเพียงการเรียนด้านทักษะการต่อสู้นั้นจะคำนึงถึงความพร้อมของร่างกายเป็นสำคัญ ถ้าได้เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยที่ร่างกายและกล้ามเนื้อพร้อม การพัฒนาก็จะเป็นไปได้เร็วนั่นก็คือ ช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต หรืออาจจะเรียกว่าช่วงวัยรุ่นก็ได้เช่นกัน ประมาณที่อายุ 15 ปีขึ้นไป นอกจากด้านร่างกายแล้วในวัยนี้จะมีความพร้อมในเรื่องเวลาเพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ที่สำคัญจะมีเวลาได้ลงสนามตั้งแต่การเป็นนักกีฬาสมัครเล่นก่อนขึ้นสังเวียนใหญ่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และปรับปรุงวิธีการต่อสู้ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นนักต่อสู้มืออาชีพตั้งแต่อายุยังน้อยก็ได้

แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กและวัยกลางคนจะไม่สามารถเริ่มเรียนรู้ MMA ได้ เพราะว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ได้มีเอาไว้ฝึกเพื่อต่อสู้เพียงอย่างเดียว ใช้เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงหรือเพื่อการป้องกันตัวก็ได้ และผู้คนในวัยตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปก็ให้ความสนใจมากเช่นกัน เพราะการได้ออกกำลังกายย่อมเกิดประโยชน์ต่อตัวผู้ฝึกฝนเองอย่างแน่นอน แต่ควรจะฝึกฝนอย่างถูกวิธีมีโค้ชฝึกสอนและนำเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงควรทำความเข้าใจในกติกาการต่อสู้ให้ดีเพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวเองและคู่ต่อสู้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมาจากการผสมผสานกีฬาต่อสู้หลายรูปแบบแต่ก็ต้องมีกติกาที่เหมาะสมและใช้ได้จริงจนสามารถทำให้ MMA เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในเวลานี้

การฝึก MMA อย่างไรให้ปลอดภัยและชำนาญมากที่สุด

MMA มีความปลอดภัยมากพอที่จะเริ่มฝึกหรือไม่…เพราะพ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจจะมองว่าเป็นกีฬาที่มีอันตรายสำหรับลูกหลานมากเกินไป แต่เมื่อคิดดูดี ๆ การเล่นฟุตบอลหรือกีฬาอื่นใดก็ย่อมมีความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้เช่นกัน จะมาก-น้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่นของนักกีฬาและวิธีการฝึกสอนในการป้องกันตัวของโค้ช รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันการกระแทกตามกฎกติกาซึ่งต้องสวมใส่ให้ครบถ้วนทุกครั้ง ในส่วนของความชำนาญจะเกิดขึ้นได้โดยอาศัยความขยันอดทนในการฝึกซ้อมของแต่ละคน ท่วงท่าที่ไม่คุ้นเคยก็สามารถทำให้เกิดความชำนาญในการใช้ได้ถ้าหากมีความขยันและมีวินัยมากซ้อมตามตารางเวลา

Sparring partner สิ่งที่นักกีฬา MMA ควรต้องมีก่อนการขึ้นสังเวียนจริง

ในการฝึกซ้อมกีฬา โดยเฉพาะกีฬาต่อสู้ควรจะมีการฝึกอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมรับกับสถานการณ์บนสังเวียนการแข่งขันจริง และสิ่งหนึ่งที่นักกีฬาต่อสู้ต้องมีก็คือ Sparring partner หรือคู่ซ้อมจริงซึ่งเป็นเหมือนการสร้างสถานการณ์เสมือนจริง ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความประหม่าขึ้นได้จากความกดดันต่าง ๆ รอบสนาม อาทิ กองเชียร์ เสียงโห่ร้องต่าง ๆ นาน เสียงกรรมการ เป็นต้น และแรงกดดันจากตัวเองที่ต้องการชัยชนะ เหล่านี้ย่อมมีผลต่อสภาพจิตใจของนักกีฬาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถ้าหากเทียบนักกีฬาที่มีประสบการณ์มานาน ผ่านมาหลายสังเวียนแล้วย่อมลดความประหม่าและความกดดันได้ดีกว่า แต่ถึงแม้จะเป็นนักกีฬามือใหม่ก็สามารถฝึกซ้อมได้จาก Sparring partner         โดยผู้ฝึกสอนจะเลือกให้ตามความเหมาะสม หรือไม่ก็หาจากประสบการณ์ในการเข้าร่วมแข่งขันสำหรับนักกีฬาสมัครเล่น เพื่อให้ได้พบกับสถานการณ์ที่หลากหลาย

Sparring อย่างไรให้เกิดประโยชน์และนำไปใช้ได้จริง

การเข้าคู่ Sparring กับคู่ซ้อมจริงอย่างไรให้ถูกวิธี เพื่อให้เกิดประโยชน์และนำไปใช้ได้จริงในการแข่งขัน MMA

  • การเตรียมตัวให้พร้อมเหมือนกำลังจะขึ้นชกจริง ๆ อุปกรณ์ในการป้องกันต่าง ๆ สนับ กระจับ ฟันยาง เฮดการ์ด เป็นต้น การบาดเจ็บระหว่างการซ้อมไม่ส่งผลดีต่อการขึ้นชกในวันแข่งขันจริงอย่างแน่นอน เพราะร่างกายจะมีสภาพไม่เต็มร้อย
  • ฝึกการควบคุมอารมณ์ ถึงแม้จะไม่ได้ดังใจต้องการ ถ้าอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่ายจะทำให้ไม่มีสมาธิระหว่างการแข่งขัน อาจจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ได้ง่าย โดยเฉพาะการสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ควรติดจนเป็นนิสัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ท่าต้องห้ามในการลงแข่งขันจริง เพราะได้พิจารณาแล้วว่าอันตรายต่อตัวเองและคู่ต่อสู้ แม้แต่กับคู่ซ้อมเองก็ตาม
  • การซ้อม Sparring เมื่อเกิดพลาดท่าโดนล็อกแล้วดิ้นไม่หลุด ควรกล่าวยอมแพ้เพื่อเซฟอาการบาดเจ็บที่สามารถทำให้ต้องหยุดซ้อมเป็นระยะเวลานาน ชั่วโมงซ้อมก็จะลดลงตามไปด้วย
  • ฝึกเคารพกฎกติกาต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับชัยชนะก็สง่างาม ถึงจะพ่ายแพ้ก็ยังมีศักดิ์ศรีที่น่านับถือน้ำใจนักกีฬาไม่ว่าจะบนสังเวียนใด อาทิ One Championship ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ MMA อันดับหนึ่งแห่งทวีปเอเชีย
  • การ Sparring เป็นโอกาสในการขัดเกลาความชำนาญทักษะที่มีอยู่ สามารถออกอาวุธได้แม่นยำตรงเป้าหมาย อีกทั้งการหลบหลีกอาวุธจากคู่ต่อสู้ก็จะสามารถทำได้ดีเช่นกัน

Sparring partner ที่ดี ควรมีลักษณะอย่างไร

Sparring partner ที่จะเหมาะสมในการเป็นคู่ซ้อมให้กับนักกีฬาต้องเห็นสมควรแล้วว่าจะเป็นแรงเสริมในทางบวกได้อย่างแน่นอน คนแรกเลยที่นักกีฬาทุกคนต้องเลือกก็คือ ผู้ฝึกสอน หรือ โค้ชนั่นเอง แน่นอนว่าเรื่องเทคนิควิธีการต่าง ๆ มีเพียบพร้อมและยอมถ่ายทอดให้หมดหน้าตัก นอกเหนือจากนั้นโค้ชจะเลือกสรรมาให้โดยผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทีม หรือการเชิญนักกีฬาจริงมาเป็น Sparring partner นอกรอบการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์จริง โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการแข่งขัน เชื่อว่าต้องมีนักกีฬาค่ายอื่น ๆ ก็อยากมาร่วมซ้อมเช่นกัน แต่ถ้านักกีฬาต่อสู้ที่ขาดการซ้อมแบบ Sparring partner ก็อาจจะมีการพัฒนาทักษะได้ช้ากว่าและยังใช้ศักยภาพที่มีไม่เต็มที่อีกด้วย

ศิลปะการต่อสู้แบบไหนที่ใช่และลงตัวได้ดีกับการต่อสู้สไตล์ MMA

หลาย ๆ ท่านที่รู้จักกับกีฬา MMA (Mixed Martial Arts) มาบ้างแล้วคงอยากจะทราบว่าการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงนั้น มีแบบไหนที่ใช่และลงตัวได้ดีที่สุด ในส่วนนี้เคยมีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้คำแนะนำว่าการต่อสู้แบบ MMA นั้นนักสู้ที่ดีจะต้องใช้ได้ดีในทุกสาขาของศิลปะการต่อสู้ ซึ่งอาจจะดูว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากทีเดียว ดังนั้นความลงตัวที่ใช่และดีที่สุดควรจะมาจากความถนัดของนักสู้หรือนักกีฬาแต่ละคนมากกว่า โดยการดึงเอาเสน่ห์ของศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาใช้เพื่อให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้จริง นอกจากนี้ยังนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงอีกด้วยเพื่อการป้องกันตัวจากสถานการณ์ต่าง ๆ

MMA คือ การผสมผสานจากเสน่ห์ของทักษะพื้นฐานการต่อสู้ 4 รูปแบบ

  1. การใช้มือและขา (Striking) คือ ทักษะในการเตะ ต่อย ชก เข่าและศอก เป็นต้น ซึ่งจะต้องใช้ในรูปแบบที่ถูกวิธี เพราะว่าเป็นการใช้ทักษะพื้นฐานของการต่อสู้ทุกชนิดมี มวยไทย เป็นต้น ถ้านักกีฬามีการออกอาวุธมือและขาได้ดีจะสามารถทำให้เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างสวยงามทีเดียว
  2. การจับคู่ต่อสู้ให้ล้มลงสู่พื้น (Takedowns) ซึ่งเป็นพื้นฐานของกีฬามวยปล้ำ สามารถใช้ได้ทั้งแขน ขาและลำตัวในการช่วยทำให้ทุ่มคู่ต่อสู้ลงพื้นได้ ถ้านักกีฬาท่านใดมีความชำนาญมากเป็นพิเศษก็ถือว่าได้เปรียบอีกเช่นกัน เนื่องจากการทุ่มครั้งเดียวอาจจะทำให้ได้รับชัยชนะในเกมการแข่งขันนั้นไปเลยก็ได้
  3. การต่อสู้ในท่านอน (Ground Fighting) โดยส่วนใหญ่เกิดต่อเนื่องมาจากการทุ่มนั่นเองแล้วมาผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้แบบ บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากและนักกีฬาแทบทุกท่านต้องการฝึกฝนให้ใช้งานได้อย่างชำนาญ มีการใช้การต่อสู้ในท่านอนเป็นหลัก
  4. คู่ต่อสู้เอ่ยปากยอมแพ้เพราะไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้อีก โดยเกิดจากการล็อกหรือหักแขนและขาของคู่ต่อสู้ แล้วจากนั้นกรรมการจะสั่งยุติการต่อสู้ ตามกติกาของการแข่งขัน MMA เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับนักกีฬา

ทุกความแตกต่าง…สามารถลงตัวได้ในการต่อสู้สไตล์ MMA

จากเหตุผลที่การต่อสู้สไตล์ MMA เน้นการผสมผสานของทักษะกีฬาต่อสู้หลากหลายประเภท การทำใกล้ความแตกต่างมาลงตัวได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และนักกีฬาเองต้องใช้อย่างคล่องแคล่วจนเกิดความชำนาญอีกด้วย นอกเหนือไปจากสไตล์ที่ถนัดที่สุดแล้วควรมีอาวุธรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นคู่ต่อสู้ก็สามารถเดาแนวทางการต่อสู้ได้ง่ายและแก้เกมได้สะดวกมากขึ้นด้วย แต่ถ้าเป็นนักกีฬาที่เดาทางได้ลำบากสำหรับคู่ต่อสู้ ก็จะกลายเป็นที่ยำเกรงได้เช่นกัน ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้จะมีได้ก็อยู่ที่ความมานะอดทนและหมั่นฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงแข่งขันจริง รวมถึงการมีผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญแบบมืออาชีพ แก้เกมได้อย่างเก่งกาจและมีทักษะการสอนใหม่ ๆ อยู่เสมอ ถ้านักกีฬามีข้อผิดพลาดใดก็ยังสามารถแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ เพิ่มความมั่นใจได้ทุกสังเวียนอย่างแน่นอน

แม่ไม้มวยไทยกับการประยุกต์ใช้ในกีฬา MMA

กีฬา MMA คือการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลาย ๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกัน แน่นอนว่าศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทยก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ มีนักกีฬา MMA มากมายฝึกฝนและเรียนรู้การเตะการต่อยในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย ฝึกฝนการต่อสู้วงใน การใช้ศอก-เข่าในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย หรือการป้องกันตัว การยืนมวย และอื่น ๆ อีกมากมายในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย นักกีฬา MMA บางคนยอมบินมาฝึกฝนเรียนรู้จากครูมวยชื่อดังถึงประเทศไทยเราก็มีไม่น้อย ลงทุนจ้างครูมวยจากไทยให้ไปสอนที่ต่างประเทศก็มากเช่นกัน บ้างก็ยืนมวยในแบบฉบับมวยไทย บ้างก็กอดรัดคลุกวงในแบบมวยไทย ใช้ศอกใช้เข่าในแบบมวยไทยก็มีให้เห็นกันมาก

ทำไมนักกีฬา MMA ส่วนใหญ่ต้องฝึกมวยไทย

มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่และมีมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่นทางด้านเทคนิค การใช้ร่างกายเกือบทุกส่วนเป็นอาวุธในการต่อสู้เช่น มือ ศอก เท้า เข่า ฯลฯ มีการป้องกันตัวที่ชาญฉลาดและเทคนิคการต่อสู้วงในที่หาวิธีป้องกันได้ยาก การยืนของมวยไทยคือการยืนที่มั่นคง เข้มแข็ง สง่า และน่าเกรงขาม เปรียบเหมือนป้อมปราการที่พร้อมจะตอบโต้เมื่อโดนโจมตี มวยไทยจะเน้นการป้องกันตัวและตอบโต้มากกว่าจะโจมตี ศิลปะการต่อสู้ในลักษณะนี้จึงเหมาะกับการต่อสู้ในรูปแบบของ MMA เพราะกีฬา MMA จำเป็นมากที่จะต้องป้องกันตัวจากการโจมตีที่หลากหลายจากคู่ต่อสู้ จำเป็นที่จะต้องตั้งรับดูเชิงของคู่ต่อสู้เพื่อที่จะหาโอกาสตอบโต้ และเทคนิคในการเอาตัวรอดหรือการเปลี่ยนจากรับให้เป็นรุกของมวยไทยก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในกีฬา MMA ยกตัวอย่างเช่น จากที่โดนคู่ต่อสู้ไล่ต่อยจนเกือบจะแพ้แต่ถ้าเปลี่ยนเกมเข้าไปกอดคู่ต่อสู้และใช้เทคนิคการคลุกวงในและการตีเข่าแบบมวยไทยก็สามารถกลับมาเป็นฝ่ายโจมตีได้ หรือการถีบขาสกัดเพื่อทำลายจังหวะก็อาจทำให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะและเราอาจมีโอกาสโจมตี เป็นต้น และที่สำคัญคือการออกอาวุธที่อันตรายและน่ากลัวของมวยไทยกระบวนท่าต่าง ๆ ในแม่ไม้มวยไทยที่ขยับร่างกายเพียงไม่กี่ส่วนแต่สามารถทำให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะ เสียท่าไปเลยก็ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนสำคัญสำหรับการต่อสู้ในกีฬา MMA อยู่ที่ว่านักกีฬาจะนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบไหนให้เหมาะสมกับพื้นที่และกติกาของกรงเหล็ก

สำหรับนักกีฬา MMA หรือคนที่อยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้มีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักมวยไทย ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน เคยเห็นกันมาทั้งนั้น และก็มีนักกีฬา MMA ชื่อดังหลายคนที่นำเอามวยไทยไปประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ของตนเองจนประสบความสำเร็จเช่น Anderson Silva , Jon Jones , Jose Aldo และอีกหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่ว่าศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นจะไม่มีความสำคัญหรือนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ คนที่นำมวยปล้ำมาประยุกต์ใช้แล้วประสบความสำเร็จก็เยอะแยะ คนที่นำมวยสากลมาประยุกต์ใช้ก็มากมาย แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจในตนเองว่าเราเหมาะสมกับแบบไหน จะนำมาใช้ยังไง ตอนไหน สถานการณ์ไหนถึงจะเหมาะสมมากกว่า