การคว้าแชมป์บนสังเวียน UFC ดีกรียอดนักสู้ระดับโลก

สังเวียนของการท่าประลองฝีมือการต่อสู้ที่เรียกว่า ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน หรือ Mixed Martial Arts (MMA) กำลังได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลก ในการคว้าแชมป์บนสังเวียนใหญ่อย่าง UFC ก็ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่มาจากปัจจัยหลายอย่างที่จะสามารถช่วยผลักดันให้ก้าวไปถึงคำว่าแชมป์ โดยนักสู้ระดับโลกแทบทุกท่านไม่ได้มีเบื้องหลังของการฝึกซ้อมที่สวยหรูดูดี เพราะความสำเร็จที่งดงามนั้นต้องแลกมาด้วยความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่มี หลาย ๆ ครั้งอาจจะต้องแลกมาด้วยคราบน้ำตา นั้นก็ถือเป็นบทพิสูจน์หนึ่งก่อนจะได้ชื่นชมกับความสำเร็จ

Conor McGregor เจ้าของเข็มขัดแชมป์ UFC (Ultimate Fighting Championship) ที่ ณ เวลานี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเขาเหมาะสมกับดีกรีนักสู้ระดับโลก มีค่าตัวสูงถึงหลักร้อยล้าน จากการเคยเป็นคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่เขาทำอย่างไรถึงได้เป็นถึงแชมป์โลก MMA และทำสถิติเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วย ด้วยการครองแชมป์เข็มขัดนักสู้ถึง 2 รุ่นและยังไม่มีใครสามารถทำได้แบบเขา

กว่าจะมาเป็นแชมป์ UFC ต้องมีดีอะไรบ้าง?

กว่าจะได้เข็มขัดแชมป์ UFC ต้องมีดีอะไรบ้าง…ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกีฬาทุกประเภทต้องมีเช่นกัน แต่อาจจะแตกต่างตรงที่เป็นประเภทการต่อสู้และมีการปะทะ จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้ามาฝึกฝนได้ ถ้าไม่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง

  • การมีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพราะในเวลาของการฝึกซ้อมต้องมีบาดเจ็บบ้าง หรือมีปัญหามาให้แก้อยู่ตลอดเวลา อาจจะต้องสวมจิตวิญญาณของนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ เข้าไปด้วย ถึงจะทำให้เดินทางถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้
  • ความขยันหมั่นฝึกซ้อม ความมีระเบียบและวินัยตามแบบอย่างของนักกีฬาที่ดี จะสามารถทำให้เพิ่มความอึดและได้รับทักษะต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทั้งจากโค้ชและเพื่อนนักกีฬาด้วยกันเอง
  • การเลือกรับประทานอาหารที่สามารถให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับการเป็นนักกีฬาต่อสู้ อาจจะต้องเน้นอาหารที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นพิเศษ
  • พรสวรรค์ ซึ่งสามารถเป็นแรงผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่สังเวียนระดับโลกอย่าง UFC ได้เร็วกว่า เพราะมีการเรียนรุ้เทคนิคต่าง ๆ ในการต่อสู้ได้ไวจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

มากกว่าคำว่าชัยชนะคือการเห็นคุณค่าของศิลปะการต่อสู้

คำว่าชัยชนะ และเป็นแชมป์โลกบนสังเวียน UFC เชื่อว่านักกีฬาทุกคนก็ย่อมอยากก้าวมาถึงจุดนี้อย่างแน่นอน แต่ที่มากกว่าชัยชนะ ก็คือ การเห็นคุณค่าของศิลปะการต่อสู้ เนื่องจากทุกศาสตร์การต่อสู้ใน MMA มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่านักกีฬาจะใช้ศิลปะการต่อสู้ใดได้ชำนาญกว่า การขึ้นสังเวียนทุกยก เหมือนได้นำศิลปะการต่อสู้ออกไปเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ดังนั้นนักกีฬาทุกคนควรให้การเคารพศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองฝึกฝน รับรองได้ว่าจะสามารถเข้าถึงและฝึกซ้อมได้อย่างเข้าใจจนนำไปใช้ได้อย่างชำนาญแน่นอน

“Conor McGregor” ไม่ได้เก่งแค่ฝีปาก ฝีไม้ลายมือก็เก่งไม่แพ้กัน

ใครที่เป็นแฟนหรือติดตามกีฬา MMA อยู่คงจะรู้จักเกรียนไอริชผู้นี้กันเป็นอย่างดี เขาได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬา MMA ที่เกรียนและมีลีลาคำพูดคำจาที่ยียวนกวนประสาทมากที่สุดคนหนึ่งในวงการ MMA เขามักจะใช้จิตวิทยาในการข่มขวัญคู่ต่อสู้และสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อนการแข่งขันด้วยคำพูดดูถูกเหยียดหยามและคำถากถางสารพัด ก็ประมาณว่ายั่วโมโหทำให้เสียสมาธิก่อนแข่งขันและสร้างความมั่นใจให้ตัวเขาเอง เรียกได้ว่าถ้าใครจะต้องขึ้นต่อสู้กับเขาจะต้องมีการสาดสงครามน้ำลายกันอย่างแน่นอน แต่ทว่าเกรียนไอริชผู้นี้ไม่ได้เก่งเฉพาะคำพูดเพียงอย่างเดียว ฝีมือในการต่อสู้ของเขาก็ไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย

จากช่างประปาสู่การคว้าแชมป์โลกสองรุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ UFC

Conor McGregor เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1988 ที่เมือง Dublin ประเทศไอร์แลนด์ ในตอนเด็ก ๆ เขาเป็นเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีความโดดเด่นในด้านไหนเลย เขาเล่นฟุตบอลและเป็นนักกีฬาฟุตบอลไปแข่งขันกันระหว่างโรงเรียนตามประสาเด็ก ๆ ทั่วไป จนอายุได้ 12 ปีเขามีโอกาสได้รู้จักกับกีฬามวยจากพ่อของเขาและมันทำให้เขารู้สึกว่ามีความสุขและเป็นตัวของตัวเอง จนอายุ 15 ปีเขาก็รู้สึกได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบกีฬาฟุตบอลขนาดนั้น เขากลับรู้สึกว่าเวลาได้ต่อยมวย ได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ตัวเขาเองกลับมีความสุขมากกว่า มันสนุก มันรู้สึกดี เป็นตัวของตัวเองแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะจริงจังหรือยึดเป็นอาชีพ ในขณะนั้น Conor ตัดสินใจไม่เรียนหนังสือต่อเพราะรู้สึกว่าการเรียนสำหรับเขามันไม่ได้นำมาปรับใช้ในชีวิตเขาได้ แม่ของเขาจึงหางานมาให้ทำคือการเป็นช่างประปา เขาทำงานเป็นช่างประปาโดยที่ตัวเขาไม่ได้ชอบอาชีพนี้สักเท่าไหร่แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจไม่เรียนต่อเขาก็ต้องทำงาน และหลังจากเลิกงานหรือมีเวลาว่างจากการทำงานเขาก็มักจะไปฝึกมวย ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำทุกวัน วันหนึ่ง Conor รู้สึกว่าเขาอยากเป็นนักมวยอยากทำในสิ่งที่ตนเองชอบเขาจึงตัดสินใจออกจากงานเพื่อไปเป็นนักมวยพร้อมกับความไม่เห็นด้วยจากครอบครัวแต่เขาก็ยืนยันที่จะทำ เขาแข่งขัน MMA ครั้งแรกตอนอายุ 18 ปีและสามารถเอาชนะได้ในการขึ้นต่อสู้ครั้งแรก หลังจากนั้นเขาก็ต่อสู้มาเรื่อย ๆ จนสามารถคว้าแชมป์ถึง 2 รุ่นในรายการ Cage Warriors Fighting Championship ในประเทศไอร์แลนด์ได้ในเวลาไม่นาน จนฝีมือเขาไปเข้าตา Dana White ประธานของ UFC และได้มีการเซ็นสัญญาให้ Conor มาสู้ใน UFC หลังจากที่เขาเข้าไปสู้ใน UFC ก็สามารถชนะติดต่อกัน 7 ไฟต์รวดและคว้าแชมป์รุ่น Featherweight มาครองได้โดยการเอาชนะคนที่ครองแชมป์ในรุ่นนี้มายาวนานอย่าง Jose Aldo ด้วยเวลาเพียง 14 วินาที ต่อมามีโอกาสได้ชิงแชมป์รุ่น Lightweight กับ Eddie Alvarez และสามารถเอาชนะได้ ทำให้เขาสร้างสถิติที่สามารถครองแชมป์ 2 รุ่นในเวลาเดียวกันเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของ UFC

หลาย ๆ คนอาจมองว่าทำไมทุกอย่างมันดูง่ายไปหมด จากช่างประปาธรรมดาคนหนึ่งอยากจะเป็นนักมวยก็ลาออกจากงานมาฝึกมวย ฝึกศิลปะการต่อสู้ แล้วก็ไปขึ้นต่อสู้ เขาชนะ เขาได้แชมป์ แต่เชื่อเถอะว่า Conor McGregor ต่อสู้และพยายามเป็นอย่างมากกับเส้นทางอาชีพนี้ กับเส้นทางที่ตัวเขาเลือกเดิน และตัวเขาเองมักพูดเสมอว่า “ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำมันได้”

จากจิ๊กโก๋เกรียนไอริชสู้ตำนานแห่งวงการนักสู้ MMA

เชื่อว่าวันนี้หลายคนคงรู้จักเขากันแล้ว แม้ไม่ใช่แฟนหมัดมวยประเภท MMA ก็ตาม กับนักสู้ที่มีฉายาว่า เกรียนไอริช อย่าง Conor McGregor ที่เข้าได้สร้างประวัตศาสตร์และตำนานบทใหม่ให้กับวงการศิลปะการต่อสู้และ MMA โดยการข้ามสังเวียนกรง 8 เหลี่ยมไปชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ แชมป์โลกมวยสากลที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล จึงเป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่แบบจะไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกสังเวียนนักสู้ แม้ศึกนั้นเขาจะพ่ายไป แต่เขาก็ได้ใจคนดูทั่วโลกไปครอง เพราะสิ่งที่เขาทำได้พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้มีดีแค่คำพูด

จิ๊กโก๋ที่พลิกตัวเองด้วยศาสตร์แห่งต่อสู้

แม้ปัจจุบัน Conor McGregor จะยังไม่ลาวงการและยังมีสัญญาอยู่กับทาง UFC แต่ก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอีกไม่นานเขาอาจจะลาสังเวียน เพราะเต็มอิ่มกับอาชีพนี้แล้ว และตอนนี้ถึงยังไง UFC ก็ยกให้เขาเป็นตำนานของวงการอีกคนไปแล้วด้วย แต่ก่อนที่ Conor McGregor จะมาถึงจุดที่สร้างชื่อให้โลกจดจำและสร้างรายได้มหาศาลในอาชีพหมัดมวยนี้ เขาก็แค่จิ๊กโก๋ในบาร์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชีวิตค่อนข้างจะไร้ค่าเลยด้วยซ้ำ สมัยเด็กก่อนที่เขาจะมาค้นพบศาสตร์การต่อสู้ เขาก็คือเด็กหนุ่มที่หลงใหลฟุตบอลเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป พอช่วงอายุ 12 ก็เริ่มสนใจการต่อสู้ แต่ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างก้าวร้าวเกเร ยังไม่ทันจะได้เรียนรู้วิชาอะไรก็ ต่อยตีกับเด็กคน ๆ อื่น  ๆไปทั่ว แม้กระทั่งเด็กที่โตกว่า เขาจึงคิดว่าตัวเองน่าจะไม่เรียนรู้หมัดมวยเพื่อเสริมทักษะต่อยตีให้กับตนเอง จึงได้ไปฝึก Kick Boxing และมวยสากล เส้นทางการเป็นนักสู้เริ่มจากตรงนั้น เขาเริ่มขึ้นชกมวยสากล และก็มีผู้ใหญ่เห็นแววมาเรื่อย ๆ เพราะเขาชกได้ดีถึงขั้นได้แชมป์ All-Ireland boxing Champion ในระดับเยาวชนมาเลยทีเดียว นั่นเป็นจุดส่งต่อทำให้เขามาพบกับ Tom Egan ผู้เปลี่ยนแปลงเขาให้กลายเป็นนักสู้ MMA โดยได้หาโค้ชศาสตร์การต่อสู้หลาย ๆ ด้านมาฝึกเขาทั้ง มวยปล้ำ คาโปเอล่า BJJ เทควันโด นั่นจึงทำให้เขาก้าวขึ้นสังเวียน MMA อย่างมั่นใจและค่อย ๆ ไต่บัลลังก์แชมป์มาเรื่อย ๆ

เส้นทางแชมป์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

Conor McGregor แม้จะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ แต่บนสังเวียนเลือกไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับนักสู้มากฝีมือมากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ มีหลายครั้งที่เขาตั้งคำถามหาความคุ้มค่ากับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย จนทำให้อยากเลิกอาชีพนี้แต่ก็ได้กำลังใจจากภรรยาทำให้เขาฟันฝ่าวันนั้นมาได้ Conor McGregor ไต่อันดับจากนักสู้ค่าตัวธรรมดามาเรื่อย ๆ จนถึงกลายเป็นแชมป์โลก MMA และนักสู้ที่ได้ค่าตัวแพงที่สุดของวงการไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาขึ้นต่อย อัตราต่อรองในคาสิโนที่รับพนันกีฬาจะคึกคักมากและมีเงินสะพัดทุกครั้ง แม้กระทั่งเว็บไซต์รับพนันทั้งฝั่งเอเชียที่เปิดรับพนันกีฬา MMA อย่าง VWIN ก็มีคนให้ความสนใจเข้ามาวางเดิมพันกันมากมายเช่นกัน ชายผู้นี้จึงไม่ได้แลกความสำเร็จมาเพราะความกร่างที่แสดงออกทางบุคลิกของเขาหรือโชคช่วยแต่อย่างใด แต่เขาพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นจากฝีมือของเขาล้วน ๆ จริง ๆ

Conor McGregor จึงเหมาะสมแล้วกับตำนานอีกบทหนึ่งของนักสู้ MMA แม้เขาจะแพ้แต่เขาไม่เคยถอดใจ เขากล้าที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ทุกครั้ง ตราบที่ยังมีลมหายใจก็ยังมียกต่อไปสำหรับชีวิตเสมอ