นักกีฬา MMA ทำเงินกันได้มากแค่ไหน?

เงินค่าตัวของนักกีฬา MMA นั้นไม่ได้เท่ากันไปหมดทุกคน มันขึ้นอยู่กับสถิติการสู้ของพวกเขา อายุ สไตล์การต่อสู้ ความนิยม และความถี่ในการชกก็มีผลต่อเงินค่าตัวทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามตัวแปรหนึ่งที่เห็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในเรื่องค่าตอบแทนเหล่านี้คือสังกัดของนักกีฬา สำหรับนักกีฬามืออาชีพของ MMA นั้นค่าตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 1000 ถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจากสถิติค่าตัวเหล่านี้นักกีฬาของ UFC มีค่าตัวเฉลี่ยสูงที่สุด โดยพิจารณาได้จากสปอนเซอร์และการเผยแพร่ออกสื่อเป็นตัวผลักดันให้ค่าตัวนักชกในสังกัดสูงขึ้นตามไปด้วย

เงินค่าตัวนี้มาจากไหนกัน?

โครงสร้างเงินค่าตัวของนักกีฬาขึ้นกับสัญญาและการชกในแต่ละนัดด้วยว่าได้รับกระแสนิยมตอบรับมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนมากแล้วหากในนัดนั้นสามารถเป็นผู้ชนะได้ก็จะได้รับเงินโบนัสอีกด้วย และเงินโบนัสนี้ก็ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนของนักชกนั่นเอง เช่นค่าตัว 4 หมื่นดอลลาร์ หากชนะจะได้รับโบนัส 4 หมื่นดอลลาร์เช่นกัน เหมือนที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าค่าตัวนักกีฬานั้นได้มาจากหลายส่วนมีส่วนใดบ้างลองมาดูกัน

ค่าสปอนเซอร์ นักกีฬา MMA มืออาชีพส่วนมากแล้วจะมีสปอนเซอร์ เช่น นักชกสังกัด UFC จะต้องใส่ชุดของ Reebok ในการชกเสมอ เนื่องจากมีการทำสัญญากันไว้ระหว่างบริษัททั้งสอง เพื่อโปรโมทสินค้าด้วย นักกีฬาจะได้รับค่าสปอนเซอร์ด้วย เช่นกัน ค่าสปอนเซอร์ที่ตกลงกันขึ้นกับจำนวนครั้งในการใส่ขึ้นชก รวมถึงการชกในนัดสำคัญ ๆ ราคาก็จะต่างกันไป

โบนัส เงินตอบแทนพิเศษนี้ขึ้นอยู่กับการชกในแต่ละนัด ว่านักชกชกได้น่าสนใจเพียงใด หากเป็นการชกที่ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ค่าตอบแทนส่วนนี้ก็จะสูงตามไปด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากในแต่ละครั้งของการชกนักกีฬา MMA จะลุยกันอย่างดุเดือด แต่เงินโบนัสเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยตัวเลขให้รู้ทั้งหมด มีหลายกรณีเหมือนกันที่มีการตกลงการจ่ายโบนัสแบบไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้

นักชก MMA ที่ได้ค่าตัวมากกับน้อยมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

ตามที่ทราบกันดีว่าค่าตัวของนักชกแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามศักยภาพ แต่หากเราลองมองจากมุมมองของคนดู เราเองจะรู้ได้หรือไม่ว่านักกีฬาแต่ละคนที่มีค่าตัวแตกต่างกันมาก ๆ นั้นจะสังเกตได้อย่างไร? คำตอบคือแทบไม่แตกต่างกันเลย ผลของค่าตัวขึ้นกับผลงานในการชกของนักกีฬาเอง สถิติในการชกจะถูกบันทึกไว้ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเรื่องการจ่ายค่าตัว จากสถิติพบว่านักกีฬา MMA ที่มีค่าตัวสูงที่สุดนั้นสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่นักกีฬาที่มีค่าตัวต่ำสุดนั้นได้รับค่าตัวเพียง 1 หมื่นดอลลาร์ต่อปีเท่านั้นเอง

รายการ UFC (Ultimate Fighting Championship) ที่มาของความนิยมในกีฬา MMA

ต้องยอมรับว่าที่มาของความนิยมในกีฬาต่อสู้แบบผสมผสานศิลปะการต่อสู้ที่หลากหลายอย่าง MMA นั้นมาจากรายการฮิตติดอันดับเทรนด์โลก คือ รายการ UFC (Ultimate Fighting Championship) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นชื่อสมาคมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงแรกของการจัดทัวร์นาเม้นต์นี้ก็เพื่อเป้าหมายของการได้เปรียบเทียบเชิงศิลปะการต่อสู้แขนงต่าง ๆ เท่านั้น แต่กลับได้รับการตอบรับจากแฟน ๆ รายการอย่างล้นหลามจนกลายเป็นรายการยอดนิยมในเวลาต่อมา

ในส่วนของตัวนักกีฬาเองก็ได้พัฒนาฝีมือจนเกิดเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองขึ้น ทำให้มีความน่าสนใจที่จะติดตามฝีมือการต่อสู้บนสังเวียนเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นเกมการแข่งขันที่มีความสนุกสนาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชมที่ชอบในเรื่องความท้าทายและการต่อสู้ที่สุดมัน UFC  จึงเป็นทัวร์นาเม้นที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจที่สุด

การต่อสู้ที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

การต่อสู้ที่หลากหลายซึ่งนักกีฬานำมาใช้ในการแข่งขัน MMA นั้น ศิลปะการต่อสู้แบบไหนที่จะสามารถเรียกว่าเป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด คำถามนี้น่าจะเกิดกับใครหลาย ๆ คน แล้วอาจจะกำลังถกเถียงกันอยู่เมื่อได้ชมเกมการแข่งขัน แต่เมื่อถูกเรียกว่า ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน นั่นคือการเลือกทักษะที่ดีที่สุดของแต่ละแขนงมาใช้ให้ชำนาญ อาทิ การเลือกบราซิลเลี่ยน ยิวยิตสุ (Brazilian Jiu Jitsu) ก็จะมีท่าไม้ตายอย่าง การรัดคอ (rear naked choke หรือ triangle choke) หักแขน (arm bar) หรือ การใช้ท่าไม้ตายของมวยไทยซึ่งถ้าหากใช้ได้อย่างชำนาญจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเพราะมีหลายท่ามาอย่าง แทงเข่า สะบัดศอก หมัดอันเฉียบคมและเตะตัดจังหวะคู่ต่อสู้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย

ในความสมบูรณ์แบบที่มี ย่อมต้องผลัดเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพราะไม่มีใครปฏิเสธความร่วงโรยของสังขารได้ แต่ยังคงกลายเป็นตำนานและต้นแบบอันล้ำค่าอยู่เสมอ ซึ่งนักกีฬาต่อสู้ในรุ่นหลังที่มักจะมีกำลังฮึดสู้และมุมานะมาจากต้นแบบในดวงใจของพวกเขานั่นเอง จนได้เป็นความสมบูรณ์แบบจากรุ่นสู่รุ่น

ไม่ได้โหดร้ายและรุนแรงอย่างที่คิด…แต่แข่งขันภายใต้กติกาแบบสากล

จากภาพที่เคยถูกมองว่าเป็นกีฬาที่โหดร้ายและใช้ความรุนแรงมากเกินไปหรือไม่…ทั้งที่ในความเป็นจริงก็คือการแข่งขันภายใต้กติกาแบบสากล

  • การชั่งน้ำหนักของนักกีฬาต้องเป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อแยกรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยมีคณะกรรมการดูแลรับผิดชอบในเรื่องพิกัดรุ่นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และความไม่ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกันของตัวนักกีฬาเป็นหลักสำคัญ
  • มีข้อห้ามในการโจมตีตามหลักสากลเพื่อความปลอดภัย อาทิ ห้ามโจมตีบริเวณท้ายทอย หรือ บริเวณใต้เข็มขัด เป็นต้น และบริเวณจุดสำคัญซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทุพพลภาพได้
  • มีกรรมการบนเวที มีโค้ชและพี่เลี้ยงคอยดูแลข้างเวที รวมถึงมีหน่วยแพทย์ประจำเอาไว้ในยามฉุกเฉิน

ดังนั้นจึงไม่ใช่กีฬาที่โหดร้าย แต่เป็นกีฬาต่อสู้อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องมีบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาและมีการเตรียมพร้อมในเรื่องความปลอดภัยที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน

คุณค่าที่มากกว่าความท้าทายของศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานสไตล์มวย MMA

เมื่อพูดถึงเรื่องการชกมวยคงต้องนึกถึงการเตะ ต่อยแล้วยิ่งถ้าเป็นสไตล์การชกมวยแบบผสมผสาน หรือ MMA ที่ไม่จำกัดเรื่องการออกอาวุธเพราะสามารถออกได้ในทุกรูปแบบทั้งการเตะ ต่อย ทุ่ม ล็อกและรัด ซึ่งอาจจะได้รับบาดเจ็บได้ง่ายกว่า แต่สำหรับท่านที่ชื่นชอบความท้าทายและได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสและเรียนรู้จะสามารถค้นพบคุณค่าในกีฬาประเภทนี้ว่ามีมากกว่าคำว่าท้าทายอย่างแน่นอนด้วยการผสมผสานเอาศิลปะการต่อสู้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น มวยสากล มวยไทย มวยปล้ำ ยูโด คาราเต้ เป็นต้นโดยเป็นการผสมผสานได้อย่างลงตัวออกมาเป็นท่วงท่าการต่อสู้ที่สวยงามและใช้ต่อสู้ได้จริง ๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในปัจจุบันได้รับความนิยมไปทั่วโลก และไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้นที่นิยม ผู้หญิงยุคใหม่ก็สามารถสนใจและทำการฝึกฝนจนเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงได้เช่นกันเมื่อได้เข้าไปสัมผัสและทำความรู้จักกับ MMA

5 คุณประโยชน์ที่จะได้รับทั้งร่างกายและจิตใจจากการฝึกมวย MMA

  1. ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานนี้คือการออกกำลังที่ดีประเภทหนึ่ง ผู้ฝึกฝนจะสามารถบริหารร่างกายได้ทุกส่วน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและระบบไหลเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพ เพิ่มการฝึกทักษะอย่างเช่น การทรงตัว การทำงานประสานกันของอวัยวะ ปฏิกิริยาในการตอบโต้ไวและมีความคล่องตัวสูง
  2. สำหรับสาว ๆ ทั้งหลายที่อยากจะสลายไขมันถ้าเลือกฝึกซ้อมกีฬา MMA รับรองได้เลยว่าระบบเผาผลาญจะดีและเร็วขึ้น เนื่องจากจัดอยู่ในการออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นสูง หน้าท้องแบนราบและยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ดี ฟิตแอนด์เฟิร์มในรูปแบบที่มีสุขภาพดีและแข็งแรง
  3. ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานสไตล์มวย MMA สามารถช่วยสร้างสมาธิ และยังช่วยให้มีการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี จึงสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้นด้วย
  4. ส่งเสริมด้านอารมณ์ให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้ ความเครียดเกิดขึ้นได้ง่ายและสลายได้ยาก เนื่องจากสภาพแวดล้อม ถ้าได้ปลดปล่อยในทางที่ถูกต้องโดยหันมาสนใจการเล่นกีฬาก็สามารถสลายความเครียดได้
  5. สามารถสร้างวินัยให้กับตนเองได้ เพราะมวย MMA ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจึงจะเกิดความชำนาญ นอกจากนี้ยังฝึกความอดทน ความพยายามและการตรงต่อเวลาอีกด้วย

ฝึกเพื่อออกกำลังกายก็ได้ หรือ ฝึกเพื่อผันตัวเป็นนักกีฬามวย MMA ก็ดี

เมื่อเห็นคุณค่าของศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ว่าไม่ได้มีแต่ความท้าทาย อีกทั้งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแต่ยังให้ประโยชน์หลากหลายสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝนทั้งผู้ชายและผู้หญิง นอกจากจะเป็นการออกกำลังกายที่ดีประเภทหนึ่งแล้ว ยังสามารถก้าวขึ้นสู้นักกีฬาบนสังเวียนมวย MMA ได้อีกด้วย เพราะว่าในปัจจุบันมีเวทีหลายระดับทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลกซึ่งพร้อมเปิดรับนักกีฬาที่มีฝีมือภายใต้กติกาที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขัน ในระดับสากล

ยูโด ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานของการฝึกซ้อม MMA

Judo หรือ ยูโด เป็นศิลปะการป้องกันตัวอย่างหนึ่งที่ได้บรรจุเป็นกีฬาและมีนักกีฬาให้ความนิยมฝึกหัดเล่นอย่างแพร่หลายทั้งนักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬามืออาชีพ ผู้เล่นจะได้รับประโยชน์อย่างไม่แพ้กีฬาชนิดอื่น ๆ แล้วยังจัดเป็นกีฬาต่อสู้ด้วยมือเปล่า ซึ่งนอกจากจะอาศัยความแข็งแรงของร่างกายแล้วยังต้องอาศัยสมาธิปฏิภาณไหวพริบของผู้เล่นอีกด้วย ในปัจจุบันนี้ได้ดัดแปลงและปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นทั้งการจู่โจมและการตั้งรับคู่ต่อสู้ จึงสามารถฝึกได้ทุกเพศทุกวัยและยังเป็นหนึ่งในพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานอีกด้วย

สำหรับนักกีฬาที่สามารถใช้พื้นฐานของยูโดได้อย่างชำนาญจะสามารถเซฟแรงได้อย่างมากเลยทีเดียว เพราะนี่คือวัตถุประสงค์ของการเล่นยูโด คือ เน้นการบริหารด้านร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอดีตนักกีฬายูโดชื่อดังระดับแชมป์โอลิมปิกเกมจึงสามารถมีชื่ออยู่ในแถวหน้าของการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ได้ด้วยเช่นกัน

นักกีฬายูโด เลื่องชื่อกับเข็มขัดแชมป์มวย MMA

นักกีฬายูโด เลื่องชื่อกับเข็มขัดแชมป์มวย MMA ระดับโลกอย่างเวที UFC (Ultimate Fighting Championship) และที่สำคัญสาวที่จัดอันดับว่าสวยเลยทีเดียวอย่าง รอนดา ราวซีย์ (Ronda Jean Rousey ) สาวนักสู้ชาวอเมริกันผู้นี้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับเหรียญจากกีฬายูโดในโอลิมปิกและยังผันตัวมาให้ความสนใจกับกีฬาการต่อสู้ MMA แบบจริงจังจนเป็นผู้หญิงแกร่งไอดอลของสาว ๆ อีกหลายคน เรียกว่าทำให้กระแสของ MMA ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้หญิงเลยก็ว่าได้ ในช่วงเวลาที่ รอนดา ราวซีย์ได้อยู่ในวงการ MMA สามารถป้องกันแชมป์ได้หลายสมัยและยังได้รับการโหวตให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยมอีกด้วย

เมื่อมีความสามารถจึงนำมาซึ่งชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สะกดสายตาคนดูได้อยู่หมัดทุกครั้งที่ขึ้นสังเวียน นอกเหนือจากชีวิตด้านการเป็นนักกีฬาต่อสู้แล้ว รอนดา ราวซีย์ยังเป็นหนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดอีกด้วย ทั้งเก่ง สวยและรวยด้วยกับค่าตัวในที่ได้รับจาก UFC ที่มากเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ถือว่าเป็นความสำเร็จที่หลาย ๆ คนคงปรารถนาจะก้าวขึ้นมาในจุดนี้ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เธอคนนี้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าจะได้ผันตัวไปเป็นนักกีฬามวยปล้ำแต่ชื่อใน MMA ก็ยังเป็นตำนานที่น่าจดจำ

บทพิสูจน์ของกีฬายูโดที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวมาเป็น MMA

บทพิสูจน์จากนักกีฬายูโดที่เลือกมากฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ว่าสามารถทำได้ดีอย่างลงตัวจนได้รับเข็มขัดแชมป์ระดับโลก ทำให้พื้นฐานการเรียนรู้ยูโดด้วยท่าทุ่มที่ถูกวิธีและใช้อย่างชำนาญจะนำมาเป็นจุดเด่นเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของการต่อสู้บนสังเวียนกรงแปดเหลี่ยมได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้การที่นักกีฬาจะเลือกศิลปะการต่อสู้แบบไหนมาสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเองก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความชำนาญของแต่ละคนด้วยแต่เชื่อว่าถ้ามีความมุ่งมั่น ขยันฝึกซ้อมและมีวินัยย่อมใกล้คำว่าประสบความสำเร็จได้แน่นอน

ตำนานบนพื้นผ้าใบ กับ ศิลปะการต่อสู้แนวนอน Royce Gracie

ในวงการกีฬาทุกประเภทย่อมมีบุคคลสำคัญที่ทำผลงานหรือสร้างชื่อเสียงให้แก่วงการกีฬานั้น ๆ อยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นตัวนักกีฬาเอง ผู้ฝึกสอน กรรมการผู้ตัดสิน หรือแฟนกีฬา ในวงการกีฬา MMA ก็มีอยู่มากมายหลายคนเช่นกันที่สามารถสร้างชื่อเสียง สร้างผลประโยชน์ และเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในวงการเลยก็มี ถ้าพูดถึงวงการกีฬา MMA คนดูส่วนใหญ่มักจะชอบนักสู้ที่ต่อสู้ในสไตล์ที่เตะต่อยเก่งหรือยืนสู้เก่งเพราะคิดว่าจะชนะและกุมความได้เปรียบในการต่อสู้ แต่มีชายผู้หนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความคิดแบบนั้นได้ด้วยสไตล์การต่อสู้ของตัวเอง เขาเป็นนักสู้ที่มีความแข็งแกร่งและหาตัวจับได้ยาก เขาสามารถชนะได้ทั้งนักสู้ที่เก่งกาจทางด้าน หมัดมวย เตะต่อย คาราเต้ หรือแม้แต่มวยปล้ำ ถ้าเจอกับเขาบนพื้นหรือในท่านอนมักจะแพ้พ่ายไปในทันทีทันใด

อย่าเผลอลงไปนอนก็แล้วกัน รับรองเสร็จแน่

Royce Gracie เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1966 ที่เมือง Rio de Janeiro ในประเทศบราซิล Royce ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เปิดโฉม UFC ออกไปสู่วงการต่อสู้โลกให้กว้างขึ้นอย่างแท้จริง เพราะในสมัยที่ UFC เริ่มก่อตั้งใหม่ ๆ ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานยังไม่เป็นที่รู้จักและที่มีก็มีแค่นักสู้ในสไตล์เตะต่อยหรือยืนสู้เท่านั้น แต่เขาเป็นนักสู้ที่ถนัดในการนอนสู้มากกว่าการยืนสู้ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากนักสู้ MMA ในสมัยนั้น โดยเขาได้นำศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า Brazilian Jiu-Jitsu เข้ามาใช้ในการแข่งขัน ส่วนใหญ่แล้วศิลปะการต่อสู่แขนงนี้จะเน้นไปที่ท่านอนสู้ เทคนิคต่าง ๆ ในการป้องกันตัวจากการนอนสู้ หรือแม้แต่การที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ในท่านอนสู้และการทำท่าล็อกแขนล็อกขารวมไปถึงการล็อกคอ ในสมัยนั้น Royce ใช้การนอนล็อกคู่ต่อสู้ล้วน ๆ และสามารถเอาชนะนักสู้ที่ตัวใหญ่กว่า พละกำลังเยอะกว่า แข็งแกร่งกว่าหรือจะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจในด้านหมัดมวย คาราเต้ มวยไทย หรือสไตล์อื่น ๆ เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสไตล์การนอนสู้และ Brazilian Jiu-Jitsu ของเขาสามารถเอาชนะได้ จนถึงขนาดที่ว่านักสู้ในยุคหลัง ๆ ต้องเรียนรู้และฝึกฝน Jiu-Jitsu กันมาไม่มากก็น้อย อาจจะไม่ได้ฝึกฝนให้เก่งกาจเหมือน Royce แต่ก็ขอให้มีวิชาไว้บ้าง หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกฝนโดยตรงเพื่อจะใช้ในการต่อสู้แต่ก็ต้องฝึกฝนการตั้งรับและป้องกันการโจมตีจาก Jiu-Jitsu หรือการนอนสู้อย่างแน่นอน

ถือได้ว่า Royce Gracie คือผู้ที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับ UFC และวงการศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ในภายหลังเขาได้สร้างประวัติศาสตร์มากมายให้กับวงการศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานและกลายมาเป็นตำนานอีกคนหนึ่งในวงการ คนดูบางกลุ่มวิจารณ์การต่อสู้สไตล์เขาว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีความสนุกสนานในการต่อสู้เลย เพราะคนดูต้องการความสนุก การหลั่งเลือด หรือการ Knock Out แต่อย่าลืมว่านี่คือกีฬาคือการแข่งขัน สิ่งที่นักกีฬาต้องการคือชัยชนะ ไม่ใช่อาการบาดเจ็บ แขนหักขาหัก หรือความสนุกสนาน เพราะนักกีฬาก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มีความรู้สึก ความเจ็บปวดเหมือน ๆ กับทุกคนบนโลก