สุดยอดแห่งคำว่าชัยชนะบนสังเวียน UFC กับเจ้าของฉายา “ไอ้แมงมุม”

ในสังเวียนของกีฬาการต่อสู้ย่อมต้องการคำว่าชัยชนะเสมอ การต่อสู้ในศึก UFC ที่เป็นสังเวียนการแข่งขันของมวย MMA ก็เช่นกัน นักสู้ทุกคนที่จะก้าวขึ้นมาบนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะต้องผ่านสนามของความเหน็ดเหนื่อยอดทนตลอดจนการฝึกฝนอย่างหนัก นอกจากนี้ยังต้องผ่านทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและคราบน้ำตาอีกด้วย เนื่องจากกีฬาการต่อสู้ย่อมมีทั้งแพ้และชนะ เมื่อมีโอกาสได้ก้าวขึ้นสังเวียนอันทรงเกียรติระดับโลกอย่าง UFC ก็ย่อมต้องรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด ถ้าได้รับชัยชนะก็เหมือนเป็นรางวัลในชีวิต แต่จะมีนักกีฬาสักกี่คนที่สามารถครองเข็มขัดแชมป์ได้ติดต่อกันหลายสมัยอย่างเจ้าของฉายา “ไอ้แมงมุม” หรือ Anderson Silva นักชกชาวบราซิเลียน

เทคนิคการต่อสู้ในรูปแบบของ Anderson Silva จนต้องยกให้กลายเป็นตำนาน MMA

แน่นอนว่าการครองแชมป์ได้ยาวนานหลายปีและยังไม่มีใครสามารถทำได้ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2006-2013 ของ Anderson Silva จะต้องมีเทคนิคการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวการต่อสู้ต้องใช้ได้อย่างชำนาญชั้นครู และหนึ่งในท่วงท่าของการต่อสู้ที่เขาได้ใช้บนสังเวียนระดับโลกนั้นก็คือ แม่ไม้มวยไทย ซึ่งสามารถใช้อาวุธได้อย่างครบทุกรูปแบบทั้ง มือ ศอก เข่าและเท้า รวมถึงสามารถเข้ากอดรัดคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย Silva นำมาประยุกต์ใช้ในการสู้ศึก UFC ได้อย่างชำนาญจนคนไทยเองก็ยอมรับว่าเป็นสุดยอดนักมวยที่ใช้มวยไทยได้ดีเยี่ยม ประกอบกับความแข็งแรงของร่างกายที่พร้อมทั้งการตั้งรับและการเข้าโจมตีคู่ต่อสู้จึงสามารถเอาชนะได้แบบที่คู่ต่อสู้ต้องยอมยกธงขาว

Anderson Silva หรือ ไอ้แมงมุม นั้นยังมีความชำนาญในศิลปะการต่อสู้ตามแบบฉบับของชาวบราซิลขนานแท้อย่าง บราซิลเลียนยิวยิตสู (brazilian-jiu-jitsu) หรือเรียกว่า Bjj ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานของกีฬาต่อสู้แบบผสมผสาน MMAโดยอาศัยการล็อกคู่ต่อสู้ไม่ให้ทรงตัวได้ การใช้การต่อสู้ Bjj ไม่ได้อาศัยความแข็งแรงของร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ต้องอาศัยเทคนิคอันชาญฉลาดเพื่อสามารถล็อกและล้มคู่ต่อสู้ให้ได้ ผู้ชนะแทบจะไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเลยก็ยังได้ ในปัจจุบัน Bjj ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับว่าทุกเพศทุกวัยสามารถฝึกฝนได้

ตำนาน ไอ้แมงมุม สู่แรงบันดาลใจของนักสู้รุ่นใหม่

ถึงแม้ว่า Anderson Silva จะเสียเข็มขัดแชมป์ไปแล้วแต่ก็ยังถือว่าเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่หน้าหนึ่งของ MMAไปตลอดกาลและยังไม่มีใครสร้างตำนานหน้าใหม่ได้เท่าหรือดีกว่า จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสู้รุ่นใหม่หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ไอดอล ของรุ่นน้องนั่นเอง ทำให้เด็กรุ่นใหม่มีกำลังใจและมีความพยายามในการฝึกซ้อมโดยมีเวที UFC เป็นเป้าหมาย MMA ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้น ผู้คนนิยมติดตามมากขึ้นกว่าเดิม ในส่วนตัวของเขาเองก็ยังคงโลดแล่นในวงการ MMA มาจนถึงปัจจุบันนี้ และยังเป็นที่เคารพนับถือทั้งในฐานะรุ่นพี่และฐานะครูมวยอีกด้วย

การคว้าแชมป์บนสังเวียน UFC ดีกรียอดนักสู้ระดับโลก

สังเวียนของการท่าประลองฝีมือการต่อสู้ที่เรียกว่า ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน หรือ Mixed Martial Arts (MMA) กำลังได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลก ในการคว้าแชมป์บนสังเวียนใหญ่อย่าง UFC ก็ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่มาจากปัจจัยหลายอย่างที่จะสามารถช่วยผลักดันให้ก้าวไปถึงคำว่าแชมป์ โดยนักสู้ระดับโลกแทบทุกท่านไม่ได้มีเบื้องหลังของการฝึกซ้อมที่สวยหรูดูดี เพราะความสำเร็จที่งดงามนั้นต้องแลกมาด้วยความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่มี หลาย ๆ ครั้งอาจจะต้องแลกมาด้วยคราบน้ำตา นั้นก็ถือเป็นบทพิสูจน์หนึ่งก่อนจะได้ชื่นชมกับความสำเร็จ

Conor McGregor เจ้าของเข็มขัดแชมป์ UFC (Ultimate Fighting Championship) ที่ ณ เวลานี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเขาเหมาะสมกับดีกรีนักสู้ระดับโลก มีค่าตัวสูงถึงหลักร้อยล้าน จากการเคยเป็นคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่เขาทำอย่างไรถึงได้เป็นถึงแชมป์โลก MMA และทำสถิติเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วย ด้วยการครองแชมป์เข็มขัดนักสู้ถึง 2 รุ่นและยังไม่มีใครสามารถทำได้แบบเขา

กว่าจะมาเป็นแชมป์ UFC ต้องมีดีอะไรบ้าง?

กว่าจะได้เข็มขัดแชมป์ UFC ต้องมีดีอะไรบ้าง…ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกีฬาทุกประเภทต้องมีเช่นกัน แต่อาจจะแตกต่างตรงที่เป็นประเภทการต่อสู้และมีการปะทะ จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้ามาฝึกฝนได้ ถ้าไม่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง

  • การมีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพราะในเวลาของการฝึกซ้อมต้องมีบาดเจ็บบ้าง หรือมีปัญหามาให้แก้อยู่ตลอดเวลา อาจจะต้องสวมจิตวิญญาณของนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ เข้าไปด้วย ถึงจะทำให้เดินทางถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้
  • ความขยันหมั่นฝึกซ้อม ความมีระเบียบและวินัยตามแบบอย่างของนักกีฬาที่ดี จะสามารถทำให้เพิ่มความอึดและได้รับทักษะต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทั้งจากโค้ชและเพื่อนนักกีฬาด้วยกันเอง
  • การเลือกรับประทานอาหารที่สามารถให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับการเป็นนักกีฬาต่อสู้ อาจจะต้องเน้นอาหารที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นพิเศษ
  • พรสวรรค์ ซึ่งสามารถเป็นแรงผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่สังเวียนระดับโลกอย่าง UFC ได้เร็วกว่า เพราะมีการเรียนรุ้เทคนิคต่าง ๆ ในการต่อสู้ได้ไวจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

มากกว่าคำว่าชัยชนะคือการเห็นคุณค่าของศิลปะการต่อสู้

คำว่าชัยชนะ และเป็นแชมป์โลกบนสังเวียน UFC เชื่อว่านักกีฬาทุกคนก็ย่อมอยากก้าวมาถึงจุดนี้อย่างแน่นอน แต่ที่มากกว่าชัยชนะ ก็คือ การเห็นคุณค่าของศิลปะการต่อสู้ เนื่องจากทุกศาสตร์การต่อสู้ใน MMA มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่านักกีฬาจะใช้ศิลปะการต่อสู้ใดได้ชำนาญกว่า การขึ้นสังเวียนทุกยก เหมือนได้นำศิลปะการต่อสู้ออกไปเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ดังนั้นนักกีฬาทุกคนควรให้การเคารพศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองฝึกฝน รับรองได้ว่าจะสามารถเข้าถึงและฝึกซ้อมได้อย่างเข้าใจจนนำไปใช้ได้อย่างชำนาญแน่นอน

นักกีฬา MMA ทำเงินกันได้มากแค่ไหน?

เงินค่าตัวของนักกีฬา MMA นั้นไม่ได้เท่ากันไปหมดทุกคน มันขึ้นอยู่กับสถิติการสู้ของพวกเขา อายุ สไตล์การต่อสู้ ความนิยม และความถี่ในการชกก็มีผลต่อเงินค่าตัวทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามตัวแปรหนึ่งที่เห็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในเรื่องค่าตอบแทนเหล่านี้คือสังกัดของนักกีฬา สำหรับนักกีฬามืออาชีพของ MMA นั้นค่าตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 1000 ถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจากสถิติค่าตัวเหล่านี้นักกีฬาของ UFC มีค่าตัวเฉลี่ยสูงที่สุด โดยพิจารณาได้จากสปอนเซอร์และการเผยแพร่ออกสื่อเป็นตัวผลักดันให้ค่าตัวนักชกในสังกัดสูงขึ้นตามไปด้วย

เงินค่าตัวนี้มาจากไหนกัน?

โครงสร้างเงินค่าตัวของนักกีฬาขึ้นกับสัญญาและการชกในแต่ละนัดด้วยว่าได้รับกระแสนิยมตอบรับมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนมากแล้วหากในนัดนั้นสามารถเป็นผู้ชนะได้ก็จะได้รับเงินโบนัสอีกด้วย และเงินโบนัสนี้ก็ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนของนักชกนั่นเอง เช่นค่าตัว 4 หมื่นดอลลาร์ หากชนะจะได้รับโบนัส 4 หมื่นดอลลาร์เช่นกัน เหมือนที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าค่าตัวนักกีฬานั้นได้มาจากหลายส่วนมีส่วนใดบ้างลองมาดูกัน

ค่าสปอนเซอร์ นักกีฬา MMA มืออาชีพส่วนมากแล้วจะมีสปอนเซอร์ เช่น นักชกสังกัด UFC จะต้องใส่ชุดของ Reebok ในการชกเสมอ เนื่องจากมีการทำสัญญากันไว้ระหว่างบริษัททั้งสอง เพื่อโปรโมทสินค้าด้วย นักกีฬาจะได้รับค่าสปอนเซอร์ด้วย เช่นกัน ค่าสปอนเซอร์ที่ตกลงกันขึ้นกับจำนวนครั้งในการใส่ขึ้นชก รวมถึงการชกในนัดสำคัญ ๆ ราคาก็จะต่างกันไป

โบนัส เงินตอบแทนพิเศษนี้ขึ้นอยู่กับการชกในแต่ละนัด ว่านักชกชกได้น่าสนใจเพียงใด หากเป็นการชกที่ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ค่าตอบแทนส่วนนี้ก็จะสูงตามไปด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากในแต่ละครั้งของการชกนักกีฬา MMA จะลุยกันอย่างดุเดือด แต่เงินโบนัสเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยตัวเลขให้รู้ทั้งหมด มีหลายกรณีเหมือนกันที่มีการตกลงการจ่ายโบนัสแบบไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้

นักชก MMA ที่ได้ค่าตัวมากกับน้อยมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

ตามที่ทราบกันดีว่าค่าตัวของนักชกแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามศักยภาพ แต่หากเราลองมองจากมุมมองของคนดู เราเองจะรู้ได้หรือไม่ว่านักกีฬาแต่ละคนที่มีค่าตัวแตกต่างกันมาก ๆ นั้นจะสังเกตได้อย่างไร? คำตอบคือแทบไม่แตกต่างกันเลย ผลของค่าตัวขึ้นกับผลงานในการชกของนักกีฬาเอง สถิติในการชกจะถูกบันทึกไว้ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเรื่องการจ่ายค่าตัว จากสถิติพบว่านักกีฬา MMA ที่มีค่าตัวสูงที่สุดนั้นสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่นักกีฬาที่มีค่าตัวต่ำสุดนั้นได้รับค่าตัวเพียง 1 หมื่นดอลลาร์ต่อปีเท่านั้นเอง

รายการ UFC (Ultimate Fighting Championship) ที่มาของความนิยมในกีฬา MMA

ต้องยอมรับว่าที่มาของความนิยมในกีฬาต่อสู้แบบผสมผสานศิลปะการต่อสู้ที่หลากหลายอย่าง MMA นั้นมาจากรายการฮิตติดอันดับเทรนด์โลก คือ รายการ UFC (Ultimate Fighting Championship) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นชื่อสมาคมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงแรกของการจัดทัวร์นาเม้นต์นี้ก็เพื่อเป้าหมายของการได้เปรียบเทียบเชิงศิลปะการต่อสู้แขนงต่าง ๆ เท่านั้น แต่กลับได้รับการตอบรับจากแฟน ๆ รายการอย่างล้นหลามจนกลายเป็นรายการยอดนิยมในเวลาต่อมา

ในส่วนของตัวนักกีฬาเองก็ได้พัฒนาฝีมือจนเกิดเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองขึ้น ทำให้มีความน่าสนใจที่จะติดตามฝีมือการต่อสู้บนสังเวียนเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นเกมการแข่งขันที่มีความสนุกสนาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชมที่ชอบในเรื่องความท้าทายและการต่อสู้ที่สุดมัน UFC  จึงเป็นทัวร์นาเม้นที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจที่สุด

การต่อสู้ที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบในศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

การต่อสู้ที่หลากหลายซึ่งนักกีฬานำมาใช้ในการแข่งขัน MMA นั้น ศิลปะการต่อสู้แบบไหนที่จะสามารถเรียกว่าเป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด คำถามนี้น่าจะเกิดกับใครหลาย ๆ คน แล้วอาจจะกำลังถกเถียงกันอยู่เมื่อได้ชมเกมการแข่งขัน แต่เมื่อถูกเรียกว่า ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน นั่นคือการเลือกทักษะที่ดีที่สุดของแต่ละแขนงมาใช้ให้ชำนาญ อาทิ การเลือกบราซิลเลี่ยน ยิวยิตสุ (Brazilian Jiu Jitsu) ก็จะมีท่าไม้ตายอย่าง การรัดคอ (rear naked choke หรือ triangle choke) หักแขน (arm bar) หรือ การใช้ท่าไม้ตายของมวยไทยซึ่งถ้าหากใช้ได้อย่างชำนาญจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเพราะมีหลายท่ามาอย่าง แทงเข่า สะบัดศอก หมัดอันเฉียบคมและเตะตัดจังหวะคู่ต่อสู้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย

ในความสมบูรณ์แบบที่มี ย่อมต้องผลัดเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพราะไม่มีใครปฏิเสธความร่วงโรยของสังขารได้ แต่ยังคงกลายเป็นตำนานและต้นแบบอันล้ำค่าอยู่เสมอ ซึ่งนักกีฬาต่อสู้ในรุ่นหลังที่มักจะมีกำลังฮึดสู้และมุมานะมาจากต้นแบบในดวงใจของพวกเขานั่นเอง จนได้เป็นความสมบูรณ์แบบจากรุ่นสู่รุ่น

ไม่ได้โหดร้ายและรุนแรงอย่างที่คิด…แต่แข่งขันภายใต้กติกาแบบสากล

จากภาพที่เคยถูกมองว่าเป็นกีฬาที่โหดร้ายและใช้ความรุนแรงมากเกินไปหรือไม่…ทั้งที่ในความเป็นจริงก็คือการแข่งขันภายใต้กติกาแบบสากล

  • การชั่งน้ำหนักของนักกีฬาต้องเป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อแยกรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยมีคณะกรรมการดูแลรับผิดชอบในเรื่องพิกัดรุ่นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และความไม่ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกันของตัวนักกีฬาเป็นหลักสำคัญ
  • มีข้อห้ามในการโจมตีตามหลักสากลเพื่อความปลอดภัย อาทิ ห้ามโจมตีบริเวณท้ายทอย หรือ บริเวณใต้เข็มขัด เป็นต้น และบริเวณจุดสำคัญซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทุพพลภาพได้
  • มีกรรมการบนเวที มีโค้ชและพี่เลี้ยงคอยดูแลข้างเวที รวมถึงมีหน่วยแพทย์ประจำเอาไว้ในยามฉุกเฉิน

ดังนั้นจึงไม่ใช่กีฬาที่โหดร้าย แต่เป็นกีฬาต่อสู้อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องมีบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาและมีการเตรียมพร้อมในเรื่องความปลอดภัยที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน

ยูโด ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานของการฝึกซ้อม MMA

Judo หรือ ยูโด เป็นศิลปะการป้องกันตัวอย่างหนึ่งที่ได้บรรจุเป็นกีฬาและมีนักกีฬาให้ความนิยมฝึกหัดเล่นอย่างแพร่หลายทั้งนักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬามืออาชีพ ผู้เล่นจะได้รับประโยชน์อย่างไม่แพ้กีฬาชนิดอื่น ๆ แล้วยังจัดเป็นกีฬาต่อสู้ด้วยมือเปล่า ซึ่งนอกจากจะอาศัยความแข็งแรงของร่างกายแล้วยังต้องอาศัยสมาธิปฏิภาณไหวพริบของผู้เล่นอีกด้วย ในปัจจุบันนี้ได้ดัดแปลงและปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นทั้งการจู่โจมและการตั้งรับคู่ต่อสู้ จึงสามารถฝึกได้ทุกเพศทุกวัยและยังเป็นหนึ่งในพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานอีกด้วย

สำหรับนักกีฬาที่สามารถใช้พื้นฐานของยูโดได้อย่างชำนาญจะสามารถเซฟแรงได้อย่างมากเลยทีเดียว เพราะนี่คือวัตถุประสงค์ของการเล่นยูโด คือ เน้นการบริหารด้านร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอดีตนักกีฬายูโดชื่อดังระดับแชมป์โอลิมปิกเกมจึงสามารถมีชื่ออยู่ในแถวหน้าของการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ได้ด้วยเช่นกัน

นักกีฬายูโด เลื่องชื่อกับเข็มขัดแชมป์มวย MMA

นักกีฬายูโด เลื่องชื่อกับเข็มขัดแชมป์มวย MMA ระดับโลกอย่างเวที UFC (Ultimate Fighting Championship) และที่สำคัญสาวที่จัดอันดับว่าสวยเลยทีเดียวอย่าง รอนดา ราวซีย์ (Ronda Jean Rousey ) สาวนักสู้ชาวอเมริกันผู้นี้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับเหรียญจากกีฬายูโดในโอลิมปิกและยังผันตัวมาให้ความสนใจกับกีฬาการต่อสู้ MMA แบบจริงจังจนเป็นผู้หญิงแกร่งไอดอลของสาว ๆ อีกหลายคน เรียกว่าทำให้กระแสของ MMA ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้หญิงเลยก็ว่าได้ ในช่วงเวลาที่ รอนดา ราวซีย์ได้อยู่ในวงการ MMA สามารถป้องกันแชมป์ได้หลายสมัยและยังได้รับการโหวตให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยมอีกด้วย

เมื่อมีความสามารถจึงนำมาซึ่งชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สะกดสายตาคนดูได้อยู่หมัดทุกครั้งที่ขึ้นสังเวียน นอกเหนือจากชีวิตด้านการเป็นนักกีฬาต่อสู้แล้ว รอนดา ราวซีย์ยังเป็นหนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดอีกด้วย ทั้งเก่ง สวยและรวยด้วยกับค่าตัวในที่ได้รับจาก UFC ที่มากเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ถือว่าเป็นความสำเร็จที่หลาย ๆ คนคงปรารถนาจะก้าวขึ้นมาในจุดนี้ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เธอคนนี้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าจะได้ผันตัวไปเป็นนักกีฬามวยปล้ำแต่ชื่อใน MMA ก็ยังเป็นตำนานที่น่าจดจำ

บทพิสูจน์ของกีฬายูโดที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวมาเป็น MMA

บทพิสูจน์จากนักกีฬายูโดที่เลือกมากฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ว่าสามารถทำได้ดีอย่างลงตัวจนได้รับเข็มขัดแชมป์ระดับโลก ทำให้พื้นฐานการเรียนรู้ยูโดด้วยท่าทุ่มที่ถูกวิธีและใช้อย่างชำนาญจะนำมาเป็นจุดเด่นเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของการต่อสู้บนสังเวียนกรงแปดเหลี่ยมได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้การที่นักกีฬาจะเลือกศิลปะการต่อสู้แบบไหนมาสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเองก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความชำนาญของแต่ละคนด้วยแต่เชื่อว่าถ้ามีความมุ่งมั่น ขยันฝึกซ้อมและมีวินัยย่อมใกล้คำว่าประสบความสำเร็จได้แน่นอน

เริ่มต้นสู้ความเป็นนักสู้ใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA

การเริ่มต้นมักจะทำให้เกิดความกังวลอยู่เสมอ ถนนสู่การเป็นนักสู้หัวใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA ก็เช่นกัน ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของ MMA คือ มวยกรงที่ดุเดือด ดูแล้วน่ากลัวและอาจจะมีอันตราย อย่างในสังเวียนระดับโลกในชื่อ UFC ซึ่งถ้านักสู้คนใดได้มีโอกาสก้าวเข้ามาก็ถือว่ามีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับเพราะนอกจากชื่อเสียงจากความสามารถที่มีแล้วนั้น ยังมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย รู้หรือไม่ว่า…ในแต่ละเดือนนักสู้ UFC ได้ค่าตอบแทนในระดับที่กลายเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการฝึกซ้อมอย่างหนักของนักกีฬาแต่ละคน เมื่อเริ่มต้นได้อย่างมั่นคงแล้ว ที่เหลือก็เป็นการรักษาคุณค่าและคุณภาพของคำว่านักสู้ให้อยู่ได้อย่างยาวนานที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นนักสู้คนหนึ่งที่โลกต้องจดจำก็ได้

ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการเริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

ในคำถามที่ว่า ช่วงวัยหรืออายุเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการฝึกต่อสู้เพื่อเป็นนักสู้ MMA นั้น คงจะตอบช่วงวัยที่แน่นอนไม่ได้ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกได้ว่าอายุเป็นตัวกำหนดความชำนาญและความเก่งกล้าสามารถของนักสู้ คงจะต้องนำหลักของความเป็นไปได้มาวัดน่าจะดีกว่า คล้าย ๆ กับเรื่องของการศึกษาหาความรู้ด้านอื่น ๆ แตกต่างเพียงการเรียนด้านทักษะการต่อสู้นั้นจะคำนึงถึงความพร้อมของร่างกายเป็นสำคัญ ถ้าได้เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยที่ร่างกายและกล้ามเนื้อพร้อม การพัฒนาก็จะเป็นไปได้เร็วนั่นก็คือ ช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต หรืออาจจะเรียกว่าช่วงวัยรุ่นก็ได้เช่นกัน ประมาณที่อายุ 15 ปีขึ้นไป นอกจากด้านร่างกายแล้วในวัยนี้จะมีความพร้อมในเรื่องเวลาเพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ที่สำคัญจะมีเวลาได้ลงสนามตั้งแต่การเป็นนักกีฬาสมัครเล่นก่อนขึ้นสังเวียนใหญ่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และปรับปรุงวิธีการต่อสู้ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นนักต่อสู้มืออาชีพตั้งแต่อายุยังน้อยก็ได้

แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กและวัยกลางคนจะไม่สามารถเริ่มเรียนรู้ MMA ได้ เพราะว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ได้มีเอาไว้ฝึกเพื่อต่อสู้เพียงอย่างเดียว ใช้เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงหรือเพื่อการป้องกันตัวก็ได้ และผู้คนในวัยตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปก็ให้ความสนใจมากเช่นกัน เพราะการได้ออกกำลังกายย่อมเกิดประโยชน์ต่อตัวผู้ฝึกฝนเองอย่างแน่นอน แต่ควรจะฝึกฝนอย่างถูกวิธีมีโค้ชฝึกสอนและนำเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงควรทำความเข้าใจในกติกาการต่อสู้ให้ดีเพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวเองและคู่ต่อสู้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมาจากการผสมผสานกีฬาต่อสู้หลายรูปแบบแต่ก็ต้องมีกติกาที่เหมาะสมและใช้ได้จริงจนสามารถทำให้ MMA เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในเวลานี้

การฝึก MMA อย่างไรให้ปลอดภัยและชำนาญมากที่สุด

MMA มีความปลอดภัยมากพอที่จะเริ่มฝึกหรือไม่…เพราะพ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจจะมองว่าเป็นกีฬาที่มีอันตรายสำหรับลูกหลานมากเกินไป แต่เมื่อคิดดูดี ๆ การเล่นฟุตบอลหรือกีฬาอื่นใดก็ย่อมมีความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้เช่นกัน จะมาก-น้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่นของนักกีฬาและวิธีการฝึกสอนในการป้องกันตัวของโค้ช รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันการกระแทกตามกฎกติกาซึ่งต้องสวมใส่ให้ครบถ้วนทุกครั้ง ในส่วนของความชำนาญจะเกิดขึ้นได้โดยอาศัยความขยันอดทนในการฝึกซ้อมของแต่ละคน ท่วงท่าที่ไม่คุ้นเคยก็สามารถทำให้เกิดความชำนาญในการใช้ได้ถ้าหากมีความขยันและมีวินัยมากซ้อมตามตารางเวลา

One Championship ทัวร์นาเมนต์ MMA ถนนสู่ความภาคภูมิใจของนักสู้เอเชีย

เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนกีฬาต่อสู้แบบผสมผสาน หรือ MMA นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มคนไทยและผู้คนในแถบทวีปเอเชียมากเท่ากับในปัจจุบันนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ของการต่อสู้ที่ดุเดือดจนถูกมองว่ามีความรุนแรงและอันตรายมากจนเกินไปที่จะเข้ามาฝึกซ้อมและเรียนรู้ จึงได้รับความนิยมเพียงในต่างประเทศแถบยุโรปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มีนักสู้ของไทยและเอเชียหลายคนที่ต้องการก้าวขึ้นสู่สังเวียนการชก MMA แต่กลับไม่มีสมาคมที่ให้การสนับสนุนในด้านนี้ จนได้มีทัวร์นาเมนต์สำหรับชาวเอเชียโดยเฉพาะอย่าง One Championship และได้รับการตอบรับจากผู้คนในทวีปเอเชียที่ชื่นชอบมวย MMA เป็นอย่างดีตลอดมาอีกด้วย อีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงนับได้ว่าเป็นถนนสู่ความภาคภูมิใจของนักชกท้องถิ่นเอเชียเป็นอย่างมากจากจุดยืนคือ ความต้องนำศิลปะการต่อสู้ประจำชาติที่มีความสวยงามมาแลกเปลี่ยนกันจากการต่อสู้บนเวทีมวย จึงได้กลายเป็นจุดกำเนิดนักสู้ทั้งชายและหญิงมาแล้วมากมายจนถึงปัจจุบัน

เส้นทางแชมป์ของนักสู้ MMA ที่ได้มา ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

เส้นทางของนักสู้ระดับแชมป์ของทัวร์นาเมนต์ ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ต่างจากนักกีฬาประเภทอื่น จุดยืนสำคัญอยู่ที่ตัวเองเป็นสำคัญ

  • ใฝ่หาความรู้ มีวินัยและมีความขยันในการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นการทุ่มเทขั้นพื้นฐานของนักสู้และนักกีฬาทุกประเภท เพราะต้องเตรียมความพร้อมทางร่างกายก่อนแล้วจึงจะสามารถฝึกซ้อมท่วงท่าต่อสู้ต่าง ๆ ได้ดี
  • มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง โดยต้องมีเป้าหมายเป็นแรงจูงใจ ถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างเวทีชก One Championship หรือมองไกลถึงระดับโลกอย่าง UFC ก็จะสามารถรักษาหน้าที่ของตนเองได้ดี
  • เชื่อฟังในคำแนะนำของโค้ชผู้ฝึกสอน เพราะจะได้รับเทคนิคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นและรู้ข้อบกพร่องของตัวเองเพื่อนำไปพัฒนาสไตล์การชกให้ดีขึ้น เพราะกว่าจะก้าวมาเป็นนักสู้มืออาชีพได้นั้น ทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขมาก่อน จนมีสไตล์การชกที่ดีและลงตัวที่สุดสำหรับตัวเอง
  • มีทัศนคติที่ดีต่อ มองในแง่บวก ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในการแข่งขัน ควรมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี การชนะเป็นรางวัลชีวิต ความพ่ายแพ้ก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน เพื่อการกำจัดข้อบกพร่องที่มีได้ในอนาคต แล้วจะกลายเป็นนักสู้ให้แกร่งได้อย่างแน่นอน
  • นักสู้ MMA ต้องมีใจสู้และหนักแน่น ไม่กลัวการปะทะหรืออาการบาดเจ็บซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ตามปกติของกีฬาประเภทต่อสู้

MMA คือศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่ความรุนแรงและป่าเถื่อน

One Championship ทัวร์นาเมนต์ จะสามารถการันตีได้ว่า MMA คือศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงและป่าเถื่อนอย่างที่ยังมีใครอีกหลายคนเข้าใจ สามารถฝึกซ้อมได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเป้าหมายที่การลงแข่งขันก็ยังมองเป็นเรื่องของการออกกำลังกายที่ดีประเภทหนึ่ง ในส่วนของการแข่งขันต่อสู้นั้นจะมีกติการะบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้ท่าต่อสู้ที่รุนแรง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยมีกรรมการคอยดูแลและกำกับตลอดการชก จึงไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น แม้แต่ผู้หญิงเอเชียที่รูปร่างบอบบางและตัวเล็กยังก้าวขึ้นสู่สังเวียนใหญ่ระดับภูมิภาคได้มาแล้วหลายคน และเชื่อว่าในอนาคตน่าจะไปได้ไกลถึงระดับโลกเช่นกัน

เพราะมีเหตุผลดี ๆ ที่ว่า…ทำไมต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA

หลาย ๆ คนที่กำลังอยากจะตัดสินใจเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ MMA ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสนิยมสากล แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่ว่าเมื่อฝึกซ้อมแล้วจะมีความปลอดภัยหรือไม่หรือกลัวอาการบาดเจ็บต่าง ๆ นานา ในส่วนของการฝึกซ้อมนั้นย่อมจะต้องมีบ้างที่จะได้รับอาการฟกช้ำเนื่องมาจากการปะทะกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกับที่เคยกังวลอย่างแน่นอน เพราะในเรื่องการป้องกันจากการสวมใส่การ์ดแขน เข่า ขา ศีรษะและนวมอย่างถูกวิธีทุกครั้งก็สามารถช่วยเซฟร่างกายได้เป็นอย่างดี และอย่ามองเพียงเพื่อมีไว้ป้องกันตัวเท่านั้นแต่เหตุผลดี ๆ ที่ว่า ทำไมต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA นั้นมีมากกว่าที่คุณคิด เมื่อได้เข้ามาสัมผัสแล้วจะสามารถมองเห็นคุณค่าได้อีกหลายด้านให้กับชีวิตอย่างแน่นอน

คุณค่าที่จะได้รับจากการเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA

  1. เพื่อป้องกันตัวเอง น่าจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนนึกถึงและตัดสินใจที่จะเรียน MMA ที่มีความหลากหลายของสไตล์การต่อสู้และเลือกที่ถนัด เพราะจะทำได้ดีแบบมีความมั่นใจ ไม่เพียงแต่การได้เทคนิควิธีดี ๆ เท่านั้น ยังสามารถทำให้มีการคาดการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วยแล้วจะสู้กลับเมื่อถึงคราวจำเป็นจริง ๆ
  2. มีวินัยและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะความชำนาญจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฝึกฝนและทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นนิสัย เมื่อมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เมื่อเกิดความชำนาญแล้ว แน่นอนว่าความมั่นใจก็ตามมาด้วยเช่นกัน
  3. ได้สุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง จากการได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งการวอร์มอัพ การฝึกซ้อมเทคนิคต่าง ๆ และการยืดหยุ่นหลังจากฝึกซ้อม เรียกว่าร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. มีความเป็นสากลนิยม ไม่ตกเทรนด์ ถ้าฝึกซ้อมอย่างจริงจังสามารถยึดเป็นอาชีพและมีรายได้จากการเข้าร่วมแข่งขันในสังเวียนระดับภูมิภาคอย่าง One Championship และระดับโลกอย่างสังเวียน UFC ได้อีกด้วย
  5. ได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตและมีค่านิยมทางบวก เพราะการเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA มุ่งเน้นด้านความอดทนแบบมีความอ่อนน้อมถ่อมตน กติกามีไว้ให้ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะในวัยเด็ก ถ้ามีโอกาสได้เข้ามาเรียนรู้จะสามารถปลูกฝังทักษะชีวิตที่ดีได้ตั้งแต่เด็กเพื่อโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

ก้าวสู่การเป็นนักสู้ MMA ที่ดีได้อย่างไร

การก้าวเข้าสู่การเป็นนักสู้ MMA ที่ดีนั้นควรมาด้วยความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจต้องมุ่งมั่นอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่จะต้องเจอแต่ควรรู้จักหาทางแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่เจอนั้นให้ได้ มีความพร้อมที่จะรับฟังข้อบกพร่องและพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นตามคำแนะนำของครูผู้ฝึกสอน มีความเชื่อมั่นในตนเองเชื่อในความสามารถของตนเอง มีความรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และควรเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี ในด้านร่างกายก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ ฝึกเทคนิคเดิมให้ชำนาญไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักสู้ MMA ที่ดีได้อย่างแน่นอน

กระดูกชิ้นโตแห่งวงการ MMA “JON BONES JONES”

ในสมาคมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานอย่าง UFC มีนักสู้ที่เก่งกาจอยู่มากมายหลายคน แต่มีกระดูกอยู่ชิ้นหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอกับเขาบนสังเวียนกรงเหล็ก ด้วยฝีไม้ลายมือที่ไม่ธรรมดา เทคนิคในการป้องกันตัวที่หาตัวจับได้ยาก การโจมตีคู่ต่อสู้ที่สุดแสนจะอันตราย โครงสร้างร่างกายที่เป็นต่อคู่ต่อสู้และพละกำลังความแข็งแกร่งที่ไม่เป็นสองรองใคร ปัจจุบันกระดูกชิ้นนี้ต่อสู้ในการแข่งขัน MMA ไปแล้วทั้งหมด 25 ไฟต์ ชนะไป 24 และแพ้เพียงแค่ 1 ครั้ง แต่เพียงครั้งเดียวที่เขาแพ้นั้นคือการแพ้ฟาล์วหรือการเผลอทำผิดกติกาโดยการตีศอกในทิศทางต้องห้ามใส่ Matt Hamaill ในการแข่งขัน The Ultimate Fighter ในปี ค.ศ. 2009 ทำให้เขาถูกปรับแพ้ไปในทันที และถ้าไม่นับการถูกปรับแพ้ครั้งนี้เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครเลย

Jon Bones Jones หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Jonathan Dwight Jones เกิดที่เมือง Rochester รัฐ New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1987 เขาเริ่มลงแข่งขันและต่อสู้ในวงการ MMA ด้วยวัย 20 ปีและสามารถเอาชนะ TKO ด้วยการต่อยไปได้ในยกแรกเท่านั้น หลังจากนั้น Jones ชนะ 6 ไฟต์ติดต่อกันจนได้เข้าไปสู้ใน UFC ในปีเดียวกันและสามารถเอาชนะคะแนน Andre Gusmao ได้ในศึก UFC 87 นั่นถือเป็นการเริ่มต้นเส้นทางในวงการ MMA ของเขาอย่างเต็มตัว ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2011 Jones มีโอกาสได้ชิงแชมป์กับสุดยอดนักสู้ MMA คนหนึ่งของวงการอย่าง Mauricio Rua ในศึก UFC 128 และเขาก็ไม่ยอมให้โอกาสนั้นหลุดมือไป เขาไล่ถลุงทั้งหมัดทั้งเข่าใส่ Rua และสามารถชนะ TKO ไปได้ในยกที่ 3 ทำให้เขากลายมาเป็นแชมป์รุ่น Light Heavyweight ที่มีอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 23 ปี หลังจากได้แชมป์ Jones ก็ต้องป้องกันแชมป์กับนักสู้หิน ๆ ทั้งนั้นเช่น Lyoto Machida , Victor Belfort , Chael Sonen , Alexander Gustafsson และ Daniel Cormier เขาสามารถเอาชนะสุดยอดฝีมือในตอนนั้นและป้องกันแชมป์ไว้ได้ทั้งหมด ในตอนนั้นเขาถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือของวงการ MMA ที่หาตัวจับได้ยากมาก Jon Jones เป็นนักสู้ที่มีเทคนิคการต่อสู้ที่ชาญฉลาดมาก จังหวะการเข้าหานิ่งและอันตราย และอาวุธครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการเตะ การต่อย ศอก เข่า หรือจะเป็นการสู้ในท่านอนและการทำ Submission ก็ไม่แพ้กัน  

สำหรับไอ้กระดูกชิ้นโตผู้นี้เขาคือสุดยอดตำนานของ UFC และวงการ MMA อีกคนหนึ่งที่ยังคงต่อสู้อยู่ แฟน ๆ ของ UFC และกีฬา MMA ต่างยกย่องให้เขาเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ปัจจุบันนี้ Jon Jones สามารถครองเข็มขัดแชมป์ในรุ่น Light Heavyweight ไว้กับตัวเขาได้อีกครั้ง ปัจจุบันเขาอายุ 31 ปีและสภาพร่างกายหรือฟอร์มการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ถือว่าดีมาก เชื่อว่า Jon Jones ยังสามารถที่จะต่อสู้ไปได้อีกนานหลายปีและสร้างสถิติใหม่ ๆ ให้กับวงการ MMA ได้อีกมากมาย

จากจิ๊กโก๋เกรียนไอริชสู้ตำนานแห่งวงการนักสู้ MMA

เชื่อว่าวันนี้หลายคนคงรู้จักเขากันแล้ว แม้ไม่ใช่แฟนหมัดมวยประเภท MMA ก็ตาม กับนักสู้ที่มีฉายาว่า เกรียนไอริช อย่าง Conor McGregor ที่เข้าได้สร้างประวัตศาสตร์และตำนานบทใหม่ให้กับวงการศิลปะการต่อสู้และ MMA โดยการข้ามสังเวียนกรง 8 เหลี่ยมไปชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ แชมป์โลกมวยสากลที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล จึงเป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่แบบจะไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกสังเวียนนักสู้ แม้ศึกนั้นเขาจะพ่ายไป แต่เขาก็ได้ใจคนดูทั่วโลกไปครอง เพราะสิ่งที่เขาทำได้พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้มีดีแค่คำพูด

จิ๊กโก๋ที่พลิกตัวเองด้วยศาสตร์แห่งต่อสู้

แม้ปัจจุบัน Conor McGregor จะยังไม่ลาวงการและยังมีสัญญาอยู่กับทาง UFC แต่ก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอีกไม่นานเขาอาจจะลาสังเวียน เพราะเต็มอิ่มกับอาชีพนี้แล้ว และตอนนี้ถึงยังไง UFC ก็ยกให้เขาเป็นตำนานของวงการอีกคนไปแล้วด้วย แต่ก่อนที่ Conor McGregor จะมาถึงจุดที่สร้างชื่อให้โลกจดจำและสร้างรายได้มหาศาลในอาชีพหมัดมวยนี้ เขาก็แค่จิ๊กโก๋ในบาร์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชีวิตค่อนข้างจะไร้ค่าเลยด้วยซ้ำ สมัยเด็กก่อนที่เขาจะมาค้นพบศาสตร์การต่อสู้ เขาก็คือเด็กหนุ่มที่หลงใหลฟุตบอลเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป พอช่วงอายุ 12 ก็เริ่มสนใจการต่อสู้ แต่ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างก้าวร้าวเกเร ยังไม่ทันจะได้เรียนรู้วิชาอะไรก็ ต่อยตีกับเด็กคน ๆ อื่น  ๆไปทั่ว แม้กระทั่งเด็กที่โตกว่า เขาจึงคิดว่าตัวเองน่าจะไม่เรียนรู้หมัดมวยเพื่อเสริมทักษะต่อยตีให้กับตนเอง จึงได้ไปฝึก Kick Boxing และมวยสากล เส้นทางการเป็นนักสู้เริ่มจากตรงนั้น เขาเริ่มขึ้นชกมวยสากล และก็มีผู้ใหญ่เห็นแววมาเรื่อย ๆ เพราะเขาชกได้ดีถึงขั้นได้แชมป์ All-Ireland boxing Champion ในระดับเยาวชนมาเลยทีเดียว นั่นเป็นจุดส่งต่อทำให้เขามาพบกับ Tom Egan ผู้เปลี่ยนแปลงเขาให้กลายเป็นนักสู้ MMA โดยได้หาโค้ชศาสตร์การต่อสู้หลาย ๆ ด้านมาฝึกเขาทั้ง มวยปล้ำ คาโปเอล่า BJJ เทควันโด นั่นจึงทำให้เขาก้าวขึ้นสังเวียน MMA อย่างมั่นใจและค่อย ๆ ไต่บัลลังก์แชมป์มาเรื่อย ๆ

เส้นทางแชมป์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

Conor McGregor แม้จะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ แต่บนสังเวียนเลือกไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับนักสู้มากฝีมือมากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ มีหลายครั้งที่เขาตั้งคำถามหาความคุ้มค่ากับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย จนทำให้อยากเลิกอาชีพนี้แต่ก็ได้กำลังใจจากภรรยาทำให้เขาฟันฝ่าวันนั้นมาได้ Conor McGregor ไต่อันดับจากนักสู้ค่าตัวธรรมดามาเรื่อย ๆ จนถึงกลายเป็นแชมป์โลก MMA และนักสู้ที่ได้ค่าตัวแพงที่สุดของวงการไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาขึ้นต่อย อัตราต่อรองในคาสิโนที่รับพนันกีฬาจะคึกคักมากและมีเงินสะพัดทุกครั้ง แม้กระทั่งเว็บไซต์รับพนันทั้งฝั่งเอเชียที่เปิดรับพนันกีฬา MMA อย่าง VWIN ก็มีคนให้ความสนใจเข้ามาวางเดิมพันกันมากมายเช่นกัน ชายผู้นี้จึงไม่ได้แลกความสำเร็จมาเพราะความกร่างที่แสดงออกทางบุคลิกของเขาหรือโชคช่วยแต่อย่างใด แต่เขาพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นจากฝีมือของเขาล้วน ๆ จริง ๆ

Conor McGregor จึงเหมาะสมแล้วกับตำนานอีกบทหนึ่งของนักสู้ MMA แม้เขาจะแพ้แต่เขาไม่เคยถอดใจ เขากล้าที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ทุกครั้ง ตราบที่ยังมีลมหายใจก็ยังมียกต่อไปสำหรับชีวิตเสมอ