กีฬา MMA ศูนย์รวมศิลปะการต่อสู้

หลายคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับกีฬาประเภทนี้ คงสงสัยว่าคืออะไรกันแน่ กีฬา MMA เป็นเกมกีฬาที่รวบรวมเอาศิลปะการต่อสู้หลากหลายชนิดมารวมกัน ตอบสนองความต้องการของเหล่ายอดนักสู้ที่หลงใหลในกีฬาการต่อสู้ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ในเรื่องชนิดของกีฬาที่นำมารวมกัน นักกีฬาแต่ละคนมีความถนัดหลายอย่างนำมาประยุกต์รวมกัน ทั้งมวยไทย เทควันโด ยูโด ไอคิโด ยิวยิตสู คาราเต้ และกีฬาต่อสู้อีกหลายประเภท แล้วขึ้นเวทีเพื่อประลองฝีมือกัน ด้วยกติกาที่ลดความเคร่งครัดลงเพื่อลดข้อจำกัดในการต่อสู้ และที่แน่ ๆ สนุกถึงใจคนดูอย่างแน่นอน

นักกีฬา MMA สมาธิ ไหวพริบ จิตใจ ร่างกาย หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ขึ้นชื่อว่ากีฬาล้วนดีต่อผู้เล่นทั้งสิ้น แต่ความพิเศษของกีฬา MMA นั้นน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนที่เข้มงวดหลายอย่าง ผู้ฝึกต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด ร่างกายที่ต้องผ่านการฝึกอย่างหนักจนแข็งแกร่งขีดสุด ระบบประสาทที่ต้องแน่วแน่ ไหวพริบปฏิภาณที่เฉียบคมแก้ปัญหาได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การขึ้นเวทีแต่ละครั้งเป็นสิ่งที่นักกีฬาหลายคนกังวลกันมาก เพราะเผลอแม้เพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงหายนะเลยทีเดียว คู่ต่อสู้ที่ประลองด้วยไม่มีทางรู้เลยว่าจะใช้เทคนิคใดในการนำมาสู้กัน การหาข้อมูลขณะต่อสู้กันจะทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ และวางแผนในการโต้ตอบกลับในเวลาอันจำกัด นักกีฬา MMA น้อยมากที่จะชนะการแข่งขันติดกันหลาย ๆ match เพราะทุกคนล้วนถูกฝึกให้แก้สถานการณ์มาอย่างเข้มงวด หากเป็นเกมที่แพ้ผู้แพ้จะกลับไปทบทวนหาจุดอ่อนว่าอะไรเป็นสาเหตุนั้น แล้วปรับแก้เพื่อลองใช้ในการแข่งครั้งต่อไป ในช่วงต้นการแข่งส่วนมากจะเป็นการหยั่งเชิงเพื่อดูทิศทางของคู่ต่อสู้กัน ตาจ้องประสานกันตลอดเวลา ต่างหาจังหวะเข้าทำทันทีเมื่ออีกฝ่ายเผลอ หากฝีมือไม่ต่างชั้นกันจริง ๆ การปะทะหนัก ๆ จะยังไม่ค่อยเห็นในยกแรก การวางแผนจู่โจมมักเริ่มตั้งแต่ยกที่ 2 เป็นต้นไปหลังหยั่งเชิง หยั่งกำลังคู่ต่อสู้แล้ววางแผนการต่อสู้ ยก 2 จะเริ่มเป็นช่วงการเปิดเกมรุกกัน การต่อสู้แบบ MMA นั้นส่วนมากจะโจมตีอย่างรุนแรงหนักหน่วงแทบทุกครั้งเพื่อสร้างโอกาสให้เข้าล็อคหรือประชิดวงใน ซึ่งแทบทุกครั้งการแพ้ชนะกันนั้นก็เกิดจากการต่อสู้วงในทั้งนั้น สมาธิที่ดีเยี่ยม ไหวพริบในการแก้ปัญหา จิตใจที่ห้าวหาญ และร่างกายที่พร้อม ทุกอย่างต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่แหละคือเสน่ห์ของกีฬา MMA

ทักษะเกิดจากการสังเกต หากชื่นชอบกีฬาต่อสู้ ต้องดูการแข่ง MMA ให้เป็น

ใครที่สนใจกีฬาประเภทนี้หรือชื่นชอบกีฬาต่อสู้อยู่แล้ว การศึกษาเกมการต่อสู้จากการแข่งขันถือเป็นการเพิ่มทักษะได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นการเพิ่มประสบการณ์การสังเกต สิ่งที่ควรสังเกตและแยกแยะให้ได้เป็นอันดับแรกก็คือนักกีฬาแต่ละคนนั้นมีวิธีการสร้างโอกาสในการรุกอย่างไร ใช้ทักษะการต่อสู้กี่ชนิดมาประยุกต์ใช้ สิ่งต่อไปที่ต้องสังเกตคือในสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอย่างไร หากสามารถวิเคราะห์ได้จากเกมการแข่ง การฝึกซ้อมจะทำให้จินตนาการได้ตามเกมการแข่ง แล้วคุณจะรู้ได้เองว่าในขณะที่ฝึกนั้นควรวางแนวทางการฝึกอย่างไร

เริ่มต้นสู้ความเป็นนักสู้ใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA

การเริ่มต้นมักจะทำให้เกิดความกังวลอยู่เสมอ ถนนสู่การเป็นนักสู้หัวใจแกร่งแห่งสังเวียน MMA ก็เช่นกัน ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของ MMA คือ มวยกรงที่ดุเดือด ดูแล้วน่ากลัวและอาจจะมีอันตราย อย่างในสังเวียนระดับโลกในชื่อ UFC ซึ่งถ้านักสู้คนใดได้มีโอกาสก้าวเข้ามาก็ถือว่ามีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับเพราะนอกจากชื่อเสียงจากความสามารถที่มีแล้วนั้น ยังมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย รู้หรือไม่ว่า…ในแต่ละเดือนนักสู้ UFC ได้ค่าตอบแทนในระดับที่กลายเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการฝึกซ้อมอย่างหนักของนักกีฬาแต่ละคน เมื่อเริ่มต้นได้อย่างมั่นคงแล้ว ที่เหลือก็เป็นการรักษาคุณค่าและคุณภาพของคำว่านักสู้ให้อยู่ได้อย่างยาวนานที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นนักสู้คนหนึ่งที่โลกต้องจดจำก็ได้

ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการเริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

ในคำถามที่ว่า ช่วงวัยหรืออายุเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการฝึกต่อสู้เพื่อเป็นนักสู้ MMA นั้น คงจะตอบช่วงวัยที่แน่นอนไม่ได้ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกได้ว่าอายุเป็นตัวกำหนดความชำนาญและความเก่งกล้าสามารถของนักสู้ คงจะต้องนำหลักของความเป็นไปได้มาวัดน่าจะดีกว่า คล้าย ๆ กับเรื่องของการศึกษาหาความรู้ด้านอื่น ๆ แตกต่างเพียงการเรียนด้านทักษะการต่อสู้นั้นจะคำนึงถึงความพร้อมของร่างกายเป็นสำคัญ ถ้าได้เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยที่ร่างกายและกล้ามเนื้อพร้อม การพัฒนาก็จะเป็นไปได้เร็วนั่นก็คือ ช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต หรืออาจจะเรียกว่าช่วงวัยรุ่นก็ได้เช่นกัน ประมาณที่อายุ 15 ปีขึ้นไป นอกจากด้านร่างกายแล้วในวัยนี้จะมีความพร้อมในเรื่องเวลาเพื่อทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ที่สำคัญจะมีเวลาได้ลงสนามตั้งแต่การเป็นนักกีฬาสมัครเล่นก่อนขึ้นสังเวียนใหญ่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และปรับปรุงวิธีการต่อสู้ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นนักต่อสู้มืออาชีพตั้งแต่อายุยังน้อยก็ได้

แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กและวัยกลางคนจะไม่สามารถเริ่มเรียนรู้ MMA ได้ เพราะว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ได้มีเอาไว้ฝึกเพื่อต่อสู้เพียงอย่างเดียว ใช้เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงหรือเพื่อการป้องกันตัวก็ได้ และผู้คนในวัยตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปก็ให้ความสนใจมากเช่นกัน เพราะการได้ออกกำลังกายย่อมเกิดประโยชน์ต่อตัวผู้ฝึกฝนเองอย่างแน่นอน แต่ควรจะฝึกฝนอย่างถูกวิธีมีโค้ชฝึกสอนและนำเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงควรทำความเข้าใจในกติกาการต่อสู้ให้ดีเพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวเองและคู่ต่อสู้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมาจากการผสมผสานกีฬาต่อสู้หลายรูปแบบแต่ก็ต้องมีกติกาที่เหมาะสมและใช้ได้จริงจนสามารถทำให้ MMA เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในเวลานี้

การฝึก MMA อย่างไรให้ปลอดภัยและชำนาญมากที่สุด

MMA มีความปลอดภัยมากพอที่จะเริ่มฝึกหรือไม่…เพราะพ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจจะมองว่าเป็นกีฬาที่มีอันตรายสำหรับลูกหลานมากเกินไป แต่เมื่อคิดดูดี ๆ การเล่นฟุตบอลหรือกีฬาอื่นใดก็ย่อมมีความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้เช่นกัน จะมาก-น้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่นของนักกีฬาและวิธีการฝึกสอนในการป้องกันตัวของโค้ช รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันการกระแทกตามกฎกติกาซึ่งต้องสวมใส่ให้ครบถ้วนทุกครั้ง ในส่วนของความชำนาญจะเกิดขึ้นได้โดยอาศัยความขยันอดทนในการฝึกซ้อมของแต่ละคน ท่วงท่าที่ไม่คุ้นเคยก็สามารถทำให้เกิดความชำนาญในการใช้ได้ถ้าหากมีความขยันและมีวินัยมากซ้อมตามตารางเวลา

Sparring partner สิ่งที่นักกีฬา MMA ควรต้องมีก่อนการขึ้นสังเวียนจริง

ในการฝึกซ้อมกีฬา โดยเฉพาะกีฬาต่อสู้ควรจะมีการฝึกอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมรับกับสถานการณ์บนสังเวียนการแข่งขันจริง และสิ่งหนึ่งที่นักกีฬาต่อสู้ต้องมีก็คือ Sparring partner หรือคู่ซ้อมจริงซึ่งเป็นเหมือนการสร้างสถานการณ์เสมือนจริง ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความประหม่าขึ้นได้จากความกดดันต่าง ๆ รอบสนาม อาทิ กองเชียร์ เสียงโห่ร้องต่าง ๆ นาน เสียงกรรมการ เป็นต้น และแรงกดดันจากตัวเองที่ต้องการชัยชนะ เหล่านี้ย่อมมีผลต่อสภาพจิตใจของนักกีฬาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถ้าหากเทียบนักกีฬาที่มีประสบการณ์มานาน ผ่านมาหลายสังเวียนแล้วย่อมลดความประหม่าและความกดดันได้ดีกว่า แต่ถึงแม้จะเป็นนักกีฬามือใหม่ก็สามารถฝึกซ้อมได้จาก Sparring partner         โดยผู้ฝึกสอนจะเลือกให้ตามความเหมาะสม หรือไม่ก็หาจากประสบการณ์ในการเข้าร่วมแข่งขันสำหรับนักกีฬาสมัครเล่น เพื่อให้ได้พบกับสถานการณ์ที่หลากหลาย

Sparring อย่างไรให้เกิดประโยชน์และนำไปใช้ได้จริง

การเข้าคู่ Sparring กับคู่ซ้อมจริงอย่างไรให้ถูกวิธี เพื่อให้เกิดประโยชน์และนำไปใช้ได้จริงในการแข่งขัน MMA

  • การเตรียมตัวให้พร้อมเหมือนกำลังจะขึ้นชกจริง ๆ อุปกรณ์ในการป้องกันต่าง ๆ สนับ กระจับ ฟันยาง เฮดการ์ด เป็นต้น การบาดเจ็บระหว่างการซ้อมไม่ส่งผลดีต่อการขึ้นชกในวันแข่งขันจริงอย่างแน่นอน เพราะร่างกายจะมีสภาพไม่เต็มร้อย
  • ฝึกการควบคุมอารมณ์ ถึงแม้จะไม่ได้ดังใจต้องการ ถ้าอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่ายจะทำให้ไม่มีสมาธิระหว่างการแข่งขัน อาจจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ได้ง่าย โดยเฉพาะการสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ควรติดจนเป็นนิสัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ท่าต้องห้ามในการลงแข่งขันจริง เพราะได้พิจารณาแล้วว่าอันตรายต่อตัวเองและคู่ต่อสู้ แม้แต่กับคู่ซ้อมเองก็ตาม
  • การซ้อม Sparring เมื่อเกิดพลาดท่าโดนล็อกแล้วดิ้นไม่หลุด ควรกล่าวยอมแพ้เพื่อเซฟอาการบาดเจ็บที่สามารถทำให้ต้องหยุดซ้อมเป็นระยะเวลานาน ชั่วโมงซ้อมก็จะลดลงตามไปด้วย
  • ฝึกเคารพกฎกติกาต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับชัยชนะก็สง่างาม ถึงจะพ่ายแพ้ก็ยังมีศักดิ์ศรีที่น่านับถือน้ำใจนักกีฬาไม่ว่าจะบนสังเวียนใด อาทิ One Championship ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ MMA อันดับหนึ่งแห่งทวีปเอเชีย
  • การ Sparring เป็นโอกาสในการขัดเกลาความชำนาญทักษะที่มีอยู่ สามารถออกอาวุธได้แม่นยำตรงเป้าหมาย อีกทั้งการหลบหลีกอาวุธจากคู่ต่อสู้ก็จะสามารถทำได้ดีเช่นกัน

Sparring partner ที่ดี ควรมีลักษณะอย่างไร

Sparring partner ที่จะเหมาะสมในการเป็นคู่ซ้อมให้กับนักกีฬาต้องเห็นสมควรแล้วว่าจะเป็นแรงเสริมในทางบวกได้อย่างแน่นอน คนแรกเลยที่นักกีฬาทุกคนต้องเลือกก็คือ ผู้ฝึกสอน หรือ โค้ชนั่นเอง แน่นอนว่าเรื่องเทคนิควิธีการต่าง ๆ มีเพียบพร้อมและยอมถ่ายทอดให้หมดหน้าตัก นอกเหนือจากนั้นโค้ชจะเลือกสรรมาให้โดยผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทีม หรือการเชิญนักกีฬาจริงมาเป็น Sparring partner นอกรอบการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์จริง โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการแข่งขัน เชื่อว่าต้องมีนักกีฬาค่ายอื่น ๆ ก็อยากมาร่วมซ้อมเช่นกัน แต่ถ้านักกีฬาต่อสู้ที่ขาดการซ้อมแบบ Sparring partner ก็อาจจะมีการพัฒนาทักษะได้ช้ากว่าและยังใช้ศักยภาพที่มีไม่เต็มที่อีกด้วย

ศิลปะการต่อสู้แบบไหนที่ใช่และลงตัวได้ดีกับการต่อสู้สไตล์ MMA

หลาย ๆ ท่านที่รู้จักกับกีฬา MMA (Mixed Martial Arts) มาบ้างแล้วคงอยากจะทราบว่าการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงนั้น มีแบบไหนที่ใช่และลงตัวได้ดีที่สุด ในส่วนนี้เคยมีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้คำแนะนำว่าการต่อสู้แบบ MMA นั้นนักสู้ที่ดีจะต้องใช้ได้ดีในทุกสาขาของศิลปะการต่อสู้ ซึ่งอาจจะดูว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากทีเดียว ดังนั้นความลงตัวที่ใช่และดีที่สุดควรจะมาจากความถนัดของนักสู้หรือนักกีฬาแต่ละคนมากกว่า โดยการดึงเอาเสน่ห์ของศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาใช้เพื่อให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้จริง นอกจากนี้ยังนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงอีกด้วยเพื่อการป้องกันตัวจากสถานการณ์ต่าง ๆ

MMA คือ การผสมผสานจากเสน่ห์ของทักษะพื้นฐานการต่อสู้ 4 รูปแบบ

  1. การใช้มือและขา (Striking) คือ ทักษะในการเตะ ต่อย ชก เข่าและศอก เป็นต้น ซึ่งจะต้องใช้ในรูปแบบที่ถูกวิธี เพราะว่าเป็นการใช้ทักษะพื้นฐานของการต่อสู้ทุกชนิดมี มวยไทย เป็นต้น ถ้านักกีฬามีการออกอาวุธมือและขาได้ดีจะสามารถทำให้เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างสวยงามทีเดียว
  2. การจับคู่ต่อสู้ให้ล้มลงสู่พื้น (Takedowns) ซึ่งเป็นพื้นฐานของกีฬามวยปล้ำ สามารถใช้ได้ทั้งแขน ขาและลำตัวในการช่วยทำให้ทุ่มคู่ต่อสู้ลงพื้นได้ ถ้านักกีฬาท่านใดมีความชำนาญมากเป็นพิเศษก็ถือว่าได้เปรียบอีกเช่นกัน เนื่องจากการทุ่มครั้งเดียวอาจจะทำให้ได้รับชัยชนะในเกมการแข่งขันนั้นไปเลยก็ได้
  3. การต่อสู้ในท่านอน (Ground Fighting) โดยส่วนใหญ่เกิดต่อเนื่องมาจากการทุ่มนั่นเองแล้วมาผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้แบบ บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากและนักกีฬาแทบทุกท่านต้องการฝึกฝนให้ใช้งานได้อย่างชำนาญ มีการใช้การต่อสู้ในท่านอนเป็นหลัก
  4. คู่ต่อสู้เอ่ยปากยอมแพ้เพราะไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้อีก โดยเกิดจากการล็อกหรือหักแขนและขาของคู่ต่อสู้ แล้วจากนั้นกรรมการจะสั่งยุติการต่อสู้ ตามกติกาของการแข่งขัน MMA เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับนักกีฬา

ทุกความแตกต่าง…สามารถลงตัวได้ในการต่อสู้สไตล์ MMA

จากเหตุผลที่การต่อสู้สไตล์ MMA เน้นการผสมผสานของทักษะกีฬาต่อสู้หลากหลายประเภท การทำใกล้ความแตกต่างมาลงตัวได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และนักกีฬาเองต้องใช้อย่างคล่องแคล่วจนเกิดความชำนาญอีกด้วย นอกเหนือไปจากสไตล์ที่ถนัดที่สุดแล้วควรมีอาวุธรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นคู่ต่อสู้ก็สามารถเดาแนวทางการต่อสู้ได้ง่ายและแก้เกมได้สะดวกมากขึ้นด้วย แต่ถ้าเป็นนักกีฬาที่เดาทางได้ลำบากสำหรับคู่ต่อสู้ ก็จะกลายเป็นที่ยำเกรงได้เช่นกัน ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้จะมีได้ก็อยู่ที่ความมานะอดทนและหมั่นฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงแข่งขันจริง รวมถึงการมีผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญแบบมืออาชีพ แก้เกมได้อย่างเก่งกาจและมีทักษะการสอนใหม่ ๆ อยู่เสมอ ถ้านักกีฬามีข้อผิดพลาดใดก็ยังสามารถแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ เพิ่มความมั่นใจได้ทุกสังเวียนอย่างแน่นอน

One Championship ทัวร์นาเมนต์ MMA ถนนสู่ความภาคภูมิใจของนักสู้เอเชีย

เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนกีฬาต่อสู้แบบผสมผสาน หรือ MMA นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มคนไทยและผู้คนในแถบทวีปเอเชียมากเท่ากับในปัจจุบันนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ของการต่อสู้ที่ดุเดือดจนถูกมองว่ามีความรุนแรงและอันตรายมากจนเกินไปที่จะเข้ามาฝึกซ้อมและเรียนรู้ จึงได้รับความนิยมเพียงในต่างประเทศแถบยุโรปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มีนักสู้ของไทยและเอเชียหลายคนที่ต้องการก้าวขึ้นสู่สังเวียนการชก MMA แต่กลับไม่มีสมาคมที่ให้การสนับสนุนในด้านนี้ จนได้มีทัวร์นาเมนต์สำหรับชาวเอเชียโดยเฉพาะอย่าง One Championship และได้รับการตอบรับจากผู้คนในทวีปเอเชียที่ชื่นชอบมวย MMA เป็นอย่างดีตลอดมาอีกด้วย อีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงนับได้ว่าเป็นถนนสู่ความภาคภูมิใจของนักชกท้องถิ่นเอเชียเป็นอย่างมากจากจุดยืนคือ ความต้องนำศิลปะการต่อสู้ประจำชาติที่มีความสวยงามมาแลกเปลี่ยนกันจากการต่อสู้บนเวทีมวย จึงได้กลายเป็นจุดกำเนิดนักสู้ทั้งชายและหญิงมาแล้วมากมายจนถึงปัจจุบัน

เส้นทางแชมป์ของนักสู้ MMA ที่ได้มา ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

เส้นทางของนักสู้ระดับแชมป์ของทัวร์นาเมนต์ ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ต่างจากนักกีฬาประเภทอื่น จุดยืนสำคัญอยู่ที่ตัวเองเป็นสำคัญ

  • ใฝ่หาความรู้ มีวินัยและมีความขยันในการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นการทุ่มเทขั้นพื้นฐานของนักสู้และนักกีฬาทุกประเภท เพราะต้องเตรียมความพร้อมทางร่างกายก่อนแล้วจึงจะสามารถฝึกซ้อมท่วงท่าต่อสู้ต่าง ๆ ได้ดี
  • มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง โดยต้องมีเป้าหมายเป็นแรงจูงใจ ถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างเวทีชก One Championship หรือมองไกลถึงระดับโลกอย่าง UFC ก็จะสามารถรักษาหน้าที่ของตนเองได้ดี
  • เชื่อฟังในคำแนะนำของโค้ชผู้ฝึกสอน เพราะจะได้รับเทคนิคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นและรู้ข้อบกพร่องของตัวเองเพื่อนำไปพัฒนาสไตล์การชกให้ดีขึ้น เพราะกว่าจะก้าวมาเป็นนักสู้มืออาชีพได้นั้น ทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขมาก่อน จนมีสไตล์การชกที่ดีและลงตัวที่สุดสำหรับตัวเอง
  • มีทัศนคติที่ดีต่อ มองในแง่บวก ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในการแข่งขัน ควรมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี การชนะเป็นรางวัลชีวิต ความพ่ายแพ้ก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน เพื่อการกำจัดข้อบกพร่องที่มีได้ในอนาคต แล้วจะกลายเป็นนักสู้ให้แกร่งได้อย่างแน่นอน
  • นักสู้ MMA ต้องมีใจสู้และหนักแน่น ไม่กลัวการปะทะหรืออาการบาดเจ็บซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ตามปกติของกีฬาประเภทต่อสู้

MMA คือศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่ความรุนแรงและป่าเถื่อน

One Championship ทัวร์นาเมนต์ จะสามารถการันตีได้ว่า MMA คือศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงและป่าเถื่อนอย่างที่ยังมีใครอีกหลายคนเข้าใจ สามารถฝึกซ้อมได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเป้าหมายที่การลงแข่งขันก็ยังมองเป็นเรื่องของการออกกำลังกายที่ดีประเภทหนึ่ง ในส่วนของการแข่งขันต่อสู้นั้นจะมีกติการะบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้ท่าต่อสู้ที่รุนแรง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยมีกรรมการคอยดูแลและกำกับตลอดการชก จึงไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น แม้แต่ผู้หญิงเอเชียที่รูปร่างบอบบางและตัวเล็กยังก้าวขึ้นสู่สังเวียนใหญ่ระดับภูมิภาคได้มาแล้วหลายคน และเชื่อว่าในอนาคตน่าจะไปได้ไกลถึงระดับโลกเช่นกัน

เพราะมีเหตุผลดี ๆ ที่ว่า…ทำไมต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA

หลาย ๆ คนที่กำลังอยากจะตัดสินใจเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ MMA ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสนิยมสากล แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่ว่าเมื่อฝึกซ้อมแล้วจะมีความปลอดภัยหรือไม่หรือกลัวอาการบาดเจ็บต่าง ๆ นานา ในส่วนของการฝึกซ้อมนั้นย่อมจะต้องมีบ้างที่จะได้รับอาการฟกช้ำเนื่องมาจากการปะทะกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกับที่เคยกังวลอย่างแน่นอน เพราะในเรื่องการป้องกันจากการสวมใส่การ์ดแขน เข่า ขา ศีรษะและนวมอย่างถูกวิธีทุกครั้งก็สามารถช่วยเซฟร่างกายได้เป็นอย่างดี และอย่ามองเพียงเพื่อมีไว้ป้องกันตัวเท่านั้นแต่เหตุผลดี ๆ ที่ว่า ทำไมต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA นั้นมีมากกว่าที่คุณคิด เมื่อได้เข้ามาสัมผัสแล้วจะสามารถมองเห็นคุณค่าได้อีกหลายด้านให้กับชีวิตอย่างแน่นอน

คุณค่าที่จะได้รับจากการเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA

  1. เพื่อป้องกันตัวเอง น่าจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนนึกถึงและตัดสินใจที่จะเรียน MMA ที่มีความหลากหลายของสไตล์การต่อสู้และเลือกที่ถนัด เพราะจะทำได้ดีแบบมีความมั่นใจ ไม่เพียงแต่การได้เทคนิควิธีดี ๆ เท่านั้น ยังสามารถทำให้มีการคาดการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วยแล้วจะสู้กลับเมื่อถึงคราวจำเป็นจริง ๆ
  2. มีวินัยและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะความชำนาญจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฝึกฝนและทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นนิสัย เมื่อมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เมื่อเกิดความชำนาญแล้ว แน่นอนว่าความมั่นใจก็ตามมาด้วยเช่นกัน
  3. ได้สุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง จากการได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งการวอร์มอัพ การฝึกซ้อมเทคนิคต่าง ๆ และการยืดหยุ่นหลังจากฝึกซ้อม เรียกว่าร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. มีความเป็นสากลนิยม ไม่ตกเทรนด์ ถ้าฝึกซ้อมอย่างจริงจังสามารถยึดเป็นอาชีพและมีรายได้จากการเข้าร่วมแข่งขันในสังเวียนระดับภูมิภาคอย่าง One Championship และระดับโลกอย่างสังเวียน UFC ได้อีกด้วย
  5. ได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตและมีค่านิยมทางบวก เพราะการเรียนศิลปะการต่อสู้ MMA มุ่งเน้นด้านความอดทนแบบมีความอ่อนน้อมถ่อมตน กติกามีไว้ให้ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะในวัยเด็ก ถ้ามีโอกาสได้เข้ามาเรียนรู้จะสามารถปลูกฝังทักษะชีวิตที่ดีได้ตั้งแต่เด็กเพื่อโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

ก้าวสู่การเป็นนักสู้ MMA ที่ดีได้อย่างไร

การก้าวเข้าสู่การเป็นนักสู้ MMA ที่ดีนั้นควรมาด้วยความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจต้องมุ่งมั่นอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่จะต้องเจอแต่ควรรู้จักหาทางแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่เจอนั้นให้ได้ มีความพร้อมที่จะรับฟังข้อบกพร่องและพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นตามคำแนะนำของครูผู้ฝึกสอน มีความเชื่อมั่นในตนเองเชื่อในความสามารถของตนเอง มีความรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และควรเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี ในด้านร่างกายก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ ฝึกเทคนิคเดิมให้ชำนาญไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักสู้ MMA ที่ดีได้อย่างแน่นอน

BRAILIAN JIU-JITSU งูอนาคอนดาจากป่าอเมซอน

ศิลปะการต่อสู้ที่ถือว่าได้รับความนิยมมาก ๆ แขนงหนึ่งในขณะนี้คงจะมีชื่อของ BJJ หรือ Brazilian Jiu-Jitsu อย่างแน่นอน BJJ กลายมาเป็นที่สนใจของคนที่ชื่นชอบศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวเป็นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการก่อตั้งโรงเรียนสอน จัดตั้งการแข่งขัน และสมาคมเกี่ยวกับ BJJ ขึ้นมามากมาย นักสู้ที่มาจากประเทศบราซิลส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกคนต้องเคยฝึกเคยเรียน BJJ กันมาทั้งนั้น แม้แต่นักกีฬา MMA ส่วนใหญ่ในโลกก็ต้องเคยฝึกฝน BJJ หรือถ้าไม่ได้ฝึกฝนโดยตรงก็ต้องฝึกฝนการป้องกันตัวการตั้งรับจาก BJJ อย่างแน่นอน

ศิลปะการต่อสู้แขนงนี้ได้ถูกพัฒนามาจากวิชายูโดซึ่งคิดค้นขึ้นมาโดย Kano Jigoro จะเน้นการกอดรัดฟัดเหวี่ยง การต่อสู้บนพื้น และพยายามหาจังหวะใช้กระบวนท่าต่าง ๆ ในการล็อคอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นในขณะยืนหรือนอนเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ จุดเด่นของ BJJ คือคนที่มีร่างกายด้อยกว่า ตัวเล็กกว่า พละกำลังน้อยกว่าสามารถที่จะใช้เทคนิคและกระบวนท่าต่าง ๆ ในการเอาชนะคนที่แข็งแกร่งกว่าได้ไม่ยาก ในตอนแรกวิชายูโดถูกเรียกว่า คาโน่ จูจิสซึ ก่อนที่ Kano จะเปลี่ยนเป็นยูโดในภายหลังและชื่อของ Brazilian Jiu-Jitsu ก็มีที่มาจากชื่อนี้ จุดกำเนิดของ BJJ นั้นเริ่มมาจาก Mitsuyo Maeda เป็นชาวญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญวิชายูโดของสำนักโคโดกัน เขาได้รับคำสั่งจากผู้ก่อตั้ง( Kano Jigoro )สำนักให้ออกเดินทางไปเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ในปี ค.ศ. 1904 เขาเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ มากมายจนไปถึงประเทศบราซิลในปี ค.ศ. 1914 เขาได้พบกับ Gastao Gracie ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวบราซิลและลูกชายของเขา Carlos Gracie ได้ดูการสาธิตจาก Maeda จึงรู้สึกสนใจที่จะเรียนและขอ Maeda เป็นศิษย์ ต่อมา Carlos ฝึกฝนจนเป็นผู้เชี่ยวชาญและเริ่มก่อตั้ง BJJ ร่วมกับน้องชายของเขา Helio Gracie และในภายหลังตระกูล Gracie ได้พัฒนาศิลปะการต่อสู้ในแบบฉบับของพวกเขาอย่างต่อเนื่องและพยายามเน้นพัฒนาเทคนิคการต่อสู้บนพื้นเป็นหลัก ตระกูล Gracie เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาซึ่งตอนนั้นมีชื่อเรียกว่า Gracie Jiu-Jitsu และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Brazilian Jiu-Jitsu จนกลายมาเป็นศิลปะการต่อสู้อีกแขนงหนึ่งในโลก

ปัจจุบัน BJJ เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งโลกและกลายมาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับในวงการศิลปะการต่อสู้ คนทุกเพศทุกวัยล้วนแล้วแต่สามารถฝึกฝน BJJ กันได้ทั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นศาสตร์เป็นวิชาขั้นพื้นฐานของวิชาการต่อสู้บนพื้นหรือการต่อสู้ในท่านอนที่สำคัญมาก ๆ เรียกได้ว่าถ้าใครอยากจะเป็นนักกีฬา MMA ก็จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนและเรียนรู้ BJJ เพื่อเป็นพื้นฐานในการป้องกันตัวในการต่อสู้ ทั้งนี้ศิลปะการต่อสู้แขนงนี้จัดได้ว่าเป็นศาสตร์ที่ทำให้คนที่มีร่างกายอ่อนแอกว่า แข็งแกร่งน้อยกว่า สามารถที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่าได้ด้วยเทคนิคต่าง ๆ และทำให้ทั่วทั้งโลกได้เห็นว่าคนที่มีสภาพร่างกายด้อยกว่าก็สามารถชนะได้เหมือนกัน

จุดกำเนิดกีฬาเก่าแก่ “มวยปล้ำ” ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ใช่แค่การแสดง

ปัจจุบันนี้กีฬามวยปล้ำถูกพัฒนามาไกลจากยุคแรกเริ่มมากแล้ว หลาย ๆ คนคงรู้จักมวยปล้ำกันเป็นอย่างดีเพราะอาจจะเคยดูผ่านทางโทรทัศน์หรือเคยเห็นในหนังสือ ภาพที่เห็นคือการแข่งขันมวยปล้ำที่มีเวทีสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ อยู่ตรงกลางคล้ายกับสนามมวยและมีการเปิดตัวนักมวยปล้ำด้วยเสียงเพลงสุดอลังการ คนไทยเราส่วนใหญ่มักเข้าใจกีฬามวยปล้ำในรูปแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดนั้นคือการแสดงโดยใช้ความสามารถของวิชามวยปล้ำเช่น รูปแบบในการต่อสู้ ท่าทางการเคลื่อนไหว เพื่อให้ความบันเทิง มีการสร้างบทบาท มีเนื้อเรื่อง และการกำหนดผลแพ้ชนะไว้ก่อนแล้ว เดิมทีรูปแบบของกีฬามวยปล้ำนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเพราะกีฬามวยปล้ำนั้นเป็นศาสตร์ที่สามารถใช้ป้องกันตัวและใช้ต่อสู้ได้จริง ๆ

กีฬามวยปล้ำนั้นมีมาอย่างยาวนานและถือว่าเป็นกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ในยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักประดิษฐ์อาวุธต่าง ๆ ขึ้นมาใช้นั้น ก็มีการฝึกฝนมวยปล้ำเพื่อใช้ป้องกันตัวและต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าเวลาออกไปล่าสัตว์ หรือใช้ต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักการใช้ประโยชน์จากไฟ การทำเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ การประดิษฐ์อาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นมา มวยปล้ำก็ได้เปลี่ยนบทบาทกลายมาเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง เป็นการตัดสินและค้นหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ชายจะมาแข่งมวยปล้ำกันเพื่อทดสอบความแข็งแรงเพื่อที่จะตัดสินว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าหรือในกลุ่มนั้น ๆ เป็นกระบวนการในการคัดเลือกหัวหน้าเผ่าของมนุษย์ยุคโบราณ ต้นกำเนิดที่แท้จริงของกีฬามวยปล้ำนั้นไม่ได้มีการบันทึกไว้แน่ชัดว่าชนชาติใดริเริ่มขึ้นมาเป็นชนชาติแรก บ้างก็อ้างว่ากีฬามวยปล้ำกำเนิดในอารยธรรมยุคเมโสโปเตเมียโดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพแกะสลักรูปมวยปล้ำมากมายในท่วงท่าต่าง ๆ ที่ผนังของวิหารและสุสาน Beni Hassan ในประเทศอียิปต์ และรูปมวยปล้ำในวิหาร Kyafaje ใกล้กับเมืองแบกแดดประเทศอิรัก ในทวีปเอเชียเราก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงว่าชาวมองโกเลียและจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการเล่นมวยปล้ำโดยเล่นมาอย่างน้อย ๆ ราว 5,000 ปี มีประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับกีฬามวยปล้ำและการจัดการแข่งขันต่าง ๆ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 โลกของเราได้มีมหกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิก และแน่นอนว่ากีฬามวยปล้ำย่อมเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่จัดการแข่งขันในโอลิมปิกและมีการแข่งมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

การเดินทางของกีฬามวยปล้ำนั้นยาวนานหลายพันปี ผ่านเรื่องราวหลายยุคหลายสมัยและไม่รู้จุดกำเนิดที่แน่ชัดของตัวเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเริ่มต้นมาจากจุดไหน จากใคร แต่ที่รู้คือทุกวันนี้ยังมีกีฬามวยปล้ำอยู่บนโลก เพราะฉะนั้นแล้วมันไม่สำคัญว่าต้นกำเนิดของกีฬามวยปล้ำนั้นจะอยู่ตรงไหนของโลกแต่มันสำคัญที่กีฬามวยปล้ำมีมาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ยังไม่มีอารยธรรม ยังเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และยังคงมีกีฬามวยปล้ำมาจนถึงปัจจุบันนี้

มือ – เท้า – สติปัญญา รวมกันเป็น TAEKWONDO

ถ้าตั้งคำถามว่าศิลปะการต่อสู้ที่มีเทคนิคการใช้เท้าได้ดีที่สุดคืออะไร คำตอบอันดับแรก ๆ ของผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ก็คือ “เทควันโด” อย่างไม่มีข้อสงสัย เทควันโดเป็นศิลปะการต่อสู้ที่หลาย ๆ คนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีและได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยเราเองหลายคนก็มักจะเห็นโรงเรียนสอนเทควันโดอยู่มากมายหรือเด็ก ๆ นักเรียนที่ใส่ชุดเทควันโดและมีสายรัดเอวในสีต่าง ๆ เทควันโดสามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้สำหรับคนทุกเพศทุกวัยและสามารถฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นอาชีพไปแข่งขันเป็นกีฬา สามารถสร้างรายได้ สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองหรือประเทศชาติได้ ประเทศไทยเราเองก็มีนักกีฬาเทควันโดอยู่มากมายหลายคน ไปแข่งขันในระดับประเทศ ระดับโลก และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศก็หลายคน

เทควันโดเป็นศิลปะการต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธของประเทศเกาหลีที่มีประสิทธิภาพและนิยมนำมาจัดการแข่งขันมากที่สุดอย่างหนึ่ง คำว่า เท(ในภาษาเกาหลี) แปลว่า เท้าหรือการโจมตีด้วยเท้าเช่น การเตะ การถีบ เป็นต้น คำว่า ควัน(ในภาษาเกาหลี) แปลว่า มือหรือการโจมตีด้วยมือเช่น การชก การตบ เป็นต้น คำว่า โด(ในภาษาเกาหลี) แปลว่า สติปัญญา ทั้งสามคำรวมกันเป็น เทควันโด ซึ่งมีความหมายแปลว่า การใช้มือใช้เท้าในการต่อสู้ด้วยสติปัญญา จุดเริ่มต้นของเทควันโดนั้นเริ่มหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ในช่วงปี ค.ศ. 1910 – 1945 นั้นประเทศเกาหลีถูกรุกรานและยึดครองจากประเทศญี่ปุ่น โดยวิชาเทควันโดนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของวิชาคาราเต้ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่นเอามาผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ของประเทศเกาหลีเช่น Taekyon  Subak จึงทำให้เกิดศิลปะการต่อสู้แขนงใหม่ขึ้นมาก็คือเทควันโดนั่นเอง ด้วยการผสมผสานศิลปะการต่อสู้เข้าด้วยกันอย่างลงตัวจึงทำให้เทควันโดกลายมาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่แตกต่างออกไปและมีท่วงท่าลีลาที่สวยงาม แต่ถึงแม้ว่าเทควันโดจะถูกพัฒนามาจากคาราเต้แต่ก็มีรูปแบบการต่อสู้ ลักษณะการออกอาวุธ การยืน การขยับและเคลื่อนไหว จุดเด่นที่แตกต่างจากคาราเต้อย่างชัดเจน เทควันโดนั้นมุ่งเน้นการใช้เท้าเป็นหลัก จะสังเกตได้ว่าในการแข่งขันเทควันโดการที่นักกีฬาจะทำแต้มทำคะแนนนั้นส่วนใหญ่มาจากการใช้เท้าโจมตีคู่ต่อสู้มากกว่าที่จะทำคะแนนโดยการใช้มือโจมตี เพราะความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ของศิลปะการต่อสู้แขนงนี้จึงทำให้ชื่อของ เทควันโด เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

กีฬาเทควันโดนั้นเป็นศิลปะการต่อสู้อีกแขนงหนึ่งที่ยอดนิยมมาก ๆ และได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งโลก เทควันโดได้เข้าไปรวมอยู่ในมหกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิก ด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ที่ผลักดันให้กีฬาเทควันโดได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโอลิมปิกและยังมีการจัดแข่งขันเพื่อหาสุดยอดนักเทควันโดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

แม่ไม้มวยไทยกับการประยุกต์ใช้ในกีฬา MMA

กีฬา MMA คือการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลาย ๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกัน แน่นอนว่าศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทยก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ มีนักกีฬา MMA มากมายฝึกฝนและเรียนรู้การเตะการต่อยในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย ฝึกฝนการต่อสู้วงใน การใช้ศอก-เข่าในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย หรือการป้องกันตัว การยืนมวย และอื่น ๆ อีกมากมายในแบบฉบับแม่ไม้มวยไทย นักกีฬา MMA บางคนยอมบินมาฝึกฝนเรียนรู้จากครูมวยชื่อดังถึงประเทศไทยเราก็มีไม่น้อย ลงทุนจ้างครูมวยจากไทยให้ไปสอนที่ต่างประเทศก็มากเช่นกัน บ้างก็ยืนมวยในแบบฉบับมวยไทย บ้างก็กอดรัดคลุกวงในแบบมวยไทย ใช้ศอกใช้เข่าในแบบมวยไทยก็มีให้เห็นกันมาก

ทำไมนักกีฬา MMA ส่วนใหญ่ต้องฝึกมวยไทย

มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่และมีมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่นทางด้านเทคนิค การใช้ร่างกายเกือบทุกส่วนเป็นอาวุธในการต่อสู้เช่น มือ ศอก เท้า เข่า ฯลฯ มีการป้องกันตัวที่ชาญฉลาดและเทคนิคการต่อสู้วงในที่หาวิธีป้องกันได้ยาก การยืนของมวยไทยคือการยืนที่มั่นคง เข้มแข็ง สง่า และน่าเกรงขาม เปรียบเหมือนป้อมปราการที่พร้อมจะตอบโต้เมื่อโดนโจมตี มวยไทยจะเน้นการป้องกันตัวและตอบโต้มากกว่าจะโจมตี ศิลปะการต่อสู้ในลักษณะนี้จึงเหมาะกับการต่อสู้ในรูปแบบของ MMA เพราะกีฬา MMA จำเป็นมากที่จะต้องป้องกันตัวจากการโจมตีที่หลากหลายจากคู่ต่อสู้ จำเป็นที่จะต้องตั้งรับดูเชิงของคู่ต่อสู้เพื่อที่จะหาโอกาสตอบโต้ และเทคนิคในการเอาตัวรอดหรือการเปลี่ยนจากรับให้เป็นรุกของมวยไทยก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในกีฬา MMA ยกตัวอย่างเช่น จากที่โดนคู่ต่อสู้ไล่ต่อยจนเกือบจะแพ้แต่ถ้าเปลี่ยนเกมเข้าไปกอดคู่ต่อสู้และใช้เทคนิคการคลุกวงในและการตีเข่าแบบมวยไทยก็สามารถกลับมาเป็นฝ่ายโจมตีได้ หรือการถีบขาสกัดเพื่อทำลายจังหวะก็อาจทำให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะและเราอาจมีโอกาสโจมตี เป็นต้น และที่สำคัญคือการออกอาวุธที่อันตรายและน่ากลัวของมวยไทยกระบวนท่าต่าง ๆ ในแม่ไม้มวยไทยที่ขยับร่างกายเพียงไม่กี่ส่วนแต่สามารถทำให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะ เสียท่าไปเลยก็ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนสำคัญสำหรับการต่อสู้ในกีฬา MMA อยู่ที่ว่านักกีฬาจะนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบไหนให้เหมาะสมกับพื้นที่และกติกาของกรงเหล็ก

สำหรับนักกีฬา MMA หรือคนที่อยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้มีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักมวยไทย ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน เคยเห็นกันมาทั้งนั้น และก็มีนักกีฬา MMA ชื่อดังหลายคนที่นำเอามวยไทยไปประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ของตนเองจนประสบความสำเร็จเช่น Anderson Silva , Jon Jones , Jose Aldo และอีกหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่ว่าศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นจะไม่มีความสำคัญหรือนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ คนที่นำมวยปล้ำมาประยุกต์ใช้แล้วประสบความสำเร็จก็เยอะแยะ คนที่นำมวยสากลมาประยุกต์ใช้ก็มากมาย แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจในตนเองว่าเราเหมาะสมกับแบบไหน จะนำมาใช้ยังไง ตอนไหน สถานการณ์ไหนถึงจะเหมาะสมมากกว่า