กีฬาต่อสู้ MMA ที่มีการผสมผสานทั้งกีฬาและการฝึกสมาธิ

เมื่อได้ยินคำว่ากีฬา MMA หลายคนคงนึกถึงความรุนแรง การต่อสู้ปะทะกันแบบดุเดือด ที่น้อยคนนักจะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกีฬาชนิดนี้ จริงอยู่ว่ากีฬา MMA นี้เป็นกีฬาต่อสู้ที่อาจมีการใช้อาวุธที่ค่อนข้างหนักหน่วงรุนแรง รวมไปถึงการผสมผสานศาสตร์การต่อสู้หลายชนิดมาไว้ด้วยกันทั้งระยะไกล ระยะใกล้ และระยะประชิด ไม่ใช่ว่านักกีฬาทุกคนจะต้องเก่งกล้าสามารถไปเสียทุกประเภทกีฬาต่อสู้นะ ส่วนมากก็มาเรียนรู้เอาก็ตอนฝึกนี่แหละ เรียนรู้กันไป ใช้ความสามารถเดิมเป็นหลัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ “สมาธิ” กีฬาต่อสู้ที่ต้องฉับไวทั้งการเคลื่อนไหว และตัดสินใจ เลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ ที่นักกีฬาต้องมีระดับสมาธิที่สูงมาก ด้วยเสน่ห์นี้แหละที่ทำให้กีฬานี้เริ่มเกิดความน่าสนใจมากขึ้น เพราะความท้าทายนี้แหละ

ยิ่งฝึกยิ่งได้ ร่างกายและจิตใจที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อเริ่มฝึกนั้นนักกีฬาทั้งหลายที่เพิ่งเข้ามาจะเริ่มทำความรู้จักกับกติกา วิธีการฝึก รวมไปถึงการเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกหรือการแข่งขัน โดยที่ผู้ฝึกเองนั้นอาจไม่ได้สังเกตว่าเมื่อได้มีการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ จะทำให้สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังเรียนรู้ ยิ่งเป็นผู้ที่รักกีฬาต่อสู้ด้วยอยู่แล้วจะรู้สึกว่ามันมีความสุขที่ได้เรียนรู้กีฬาต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น ภาพการต่อสู้จากกรงการแข่งขันที่แทบจะพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวเพราะทุกจังหวะทำให้เกิดผลแพ้ชนะได้ทันทีก็จะยิ่งสูบฉีดอะดรีนาลีนในร่างกายให้พลุ่งพล่าน นี่เป็นหนึ่งในกระบวนการฝึก เพราะผู้ฝึกเองก็ต้องได้เห็นการแข่งขันเพื่อบันทึกรูปแบบไว้ ซึ่งจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองได้ในภายหลัง เมื่อภาคทฤษฎีกระตุ้นความรู้สึกได้แล้ว ก็ตามด้วยภาคปฏิบัติที่ต้องมีการฝึกสภาพร่างกายจากห้องยิม และการเข้าคู่เพื่อฝึกทักษะการต่อสู้แบบลงนวมซ้อมจริง เป็นกระบวนการวนเวียนกันไปแบบนี้ ความหลากหลายในรูปแบบการฝึกก็ขึ้นอยู่กับโค้ชของแต่ละคนว่าจะสร้างสรรค์ออกมาได้มากน้อยเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ฝึกก็จะยิ่งเพิ่มระดับความสามารถ รวมไปถึงระดับของสมาธิที่จะพัฒนาไปควบคู่กัน

การเปลี่ยนแปลงที่นักกีฬาต่อสู้ MMA ต้องทึ่ง

กว่านักกีฬาคนหนึ่งจะมีโอกาสได้ลงสนามแข่งขันจริง ๆ ก็ต้องใช้เวลาฝึกอยู่นานหลายเดือน จนเมื่อโค้ชเห็นว่าพร้อมทั้งสภาพร่างกาย ทักษะ เทคนิค และจิตใจ จึงจะตัดสินใจให้เริ่มลงแข่งขัน นักกีฬาต่อสู้จะเกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดเมื่อผ่านสังเวียนจริง มันจึงเป็นวัฏจักรที่โค้ชทั้งหลายอยากผลักดันให้นักกีฬาของตัวเองนั้นได้ลงสนามจริงให้เร็วที่สุด ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด หากเร็วเกินไปนักกีฬาจะเกิดความท้อแท้เพราะเหมือนไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้ ช้าเกินไปก็เกิดความเบื่อหน่ายที่ได้แค่เพียงซ้อมไม่ได้ลงสนามจริงเสียที โค้ชจึงต้องประเมินนักกีฬาอย่างเหมาะสมที่สุด และเมื่อผ่านการแข่งขันไปได้ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ เชื่อเถอะว่าตัวนักกีฬาเองนั่นแหละที่จะสัมผัสได้ว่าตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดทั้งร่างกาย และจิตใจ หากนักกีฬารู้จักการประเมินตัวเองด้วยแล้วล่ะก็นี่เป็นเส้นทางที่จะทำให้เกิดการพัฒนาแบบไม่สิ้นสุดเลยทีเดียว